คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 763/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะไม่ได้จดทะเบียนเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของผู้ที่ได้รับอนุญาตให้จัดหางาน แต่จำเลยเป็นลูกจ้างชั่วคราวของผู้จัดการสำนักงาน เอส.ที.เอ็ม. ซึ่งได้รับอนุญาตให้จัดหางานได้แล้ว ดังนี้การที่จำเลยจัดหางานจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7,27
จำเลยเป็นลูกจ้างชั่วคราวของผู้จัดการสำนักงาน เอส.ที.เอ็ม.ซึ่งได้รับอนุญาตให้จัดหางานได้ แต่จำเลยกลับโฆษณาจัดหางานแก่ประชาชนทั่วไปในนามของบริษัท อ. จนผู้เสียหายหลงเชื่อไปสมัครงานกับจำเลย จำเลยรับเงินจากผู้เสียหายแล้ว ถึงกำหนดผู้เสียหายไม่ได้ไปทำงาน จำเลยปิดบริษัทและหลบหนีไปจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91,341, 343 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา7, 27
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา341, 343, 83 จำคุก 5 ปี ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7, 27 ปรับ 900 บาท รวมจำคุก 5 ปี ปรับ 900บาทลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ปรับ 600 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้จดทะเบียนเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของผู้ที่ได้รับอนุญาตให้จัดหางาน แต่จำเลยเป็นลูกจ้างชั่วคราวของนายบุญส่งผู้จัดการสำนักจัดหางาน เอส.ที.เอ็ม. ที่ได้รับอนุญาตให้จัดหางานได้แล้วการกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2511 มาตรา 7, 27
จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวของนายบุญส่งประกาศโฆษณารับสมัครคนงานไปทำงานยังต่างประเทศแก่ประชาชนที่สำนักงานจัดหางานชั่วคราว ณ บริษัท เอส.ที.เอ็ม.สแตนดาร์ดไทยแมนเพาเวอร์ จำกัดจนผู้เสียหายหลงเชื่อไปสมัครงานกับจำเลย ตามที่จำเลยประกาศจำเลยรับเงินจากผู้เสียหายแล้ว ถึงกำหนดผู้เสียหายไม่ได้ไปทำงาน จำเลยปิดบริษัทและหลบหนีไป ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยกระทำการตั้งสำนักจัดหางานชั่วคราวเป็นบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายและประกาศรับสมัครงานโดยเรียกค่าบริการให้ประชาชนหลงผิด แม้จำเลยจะอ้างว่าได้ทำสัญญาจ้างตามเอกสารหมาย ล.13 ถึง ล.15 ก็มีแต่จำเลยกับนายซายิด ซาลิม เท่านั้นที่รู้ข้อความดังกล่าว เมื่อผู้เสียหายมาสมัครงานและเสียค่าบริการแก่จำเลยแล้วถึงกำหนดจำเลยไม่สามารถส่งผู้เสียหายไปทำงานได้ เช่นนี้ การกระทำของจำเลยถือได้ว่า จำเลยโดยทุจริตหลอกลวงประชาชนรวมทั้งผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน โดยการหลอกลวงเช่นว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้เสียหายผู้ถูกหลอกลวง จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343,วรรคแรก, 83
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา343 วรรคแรก ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 5 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 3ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share