แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยขับรถประจำทางมาตามถนนได้เห็นรถยนต์บรรทุกคันหนึ่งกำลังแล่นสวนทางมาในระยะห่างไปไม่น้อยกว่า 50 เมตรในลักษณะผิดธรรมดา โดยแล่นกินทางตรงข้ามเข้ามาด้วยความเร็วสูงและส่ายไปมาเช่นนี้ จำเลยควรมีหน้าที่หยุดรถหรือชลอรถแอบเข้าข้างทางแต่กลับคงขับรถต่อไป และเพิ่งจะห้ามล้อเมื่อใกล้กันในระยะเพียง 7-8 เมตร และหักรถไปทางขวาเป็นเหตุให้รถชนกับรถบรรทุกนั้นจนมีผู้ตายและบาดเจ็บถือว่าเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ จำเลยจึงมีความผิดฐานประมาททำให้คนตายและบาดเจ็บ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้กับนายแม้นเป็นจำเลยอีกสำนวนหนึ่ง ซึ่งศาลรวมพิจารณาพิพากษาในข้อหาว่าทั้งสองขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงตาย และบาดเจ็บ ทั้งนี้ โดยขณะที่จำเลยขับรถประจำทางมาตามถนนสุขุมวิท โฉมหน้าจะไปจังหวัดสมุทรปราการใกล้โค้งบางอ้อได้เห็นรถยนต์บรรทุกซึ่งนายแม้นเป็นผู้ขับมาตามทางตรงข้ามแล่นส่ายไปมาและล้ำเข้ามาในเส้นทางรถจำเลยแต่ไกล แต่จำเลยมิได้ชลอความเร็วลง จนเมื่อรถทั้งสองแล่นเข้ามาใกล้กัน จำเลยกลับหักพวงมาลัยไปทางขวาซึ่งเป็นเวลาที่นายแม้นหักกลับไปทางซ้ายของถนน เป็นผลให้รถทั้งสองชนกันอย่างแรง เป็นเหตุให้ผู้โดยสารที่นั่งมาในรถทั้งสองถึงตายและบาดเจ็บ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 29, 66, 68 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2481 มาตรา 4 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2508 มาตรา 7, 13 และสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ของจำเลย
จำเลยและนายแม้นให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า นายแม้นเมาสุราขณะขับรถ และขับผิดทางส่ายไปมาจึงได้ชื่อว่าประมาท และสำหรับจำเลยฟังว่า ได้เห็นนายแม้นขับรถกินทางมาแต่ยังอยู่ห่างไปในระยะไกล จำเลยควรต้องชลอรถเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายเสียแต่ในชั้นแรก และควรคาดคิดว่าการหลบไปทางขวานั้น อาจชนกับรถนายแม้น ซึ่งอาจหักกลับไปในทางของตนก็ได้ ทั้งฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยขับรถกึ่งกลางถนนเพราะแซงรถแท๊กซี่ขณะนั้นด้วยจำเลยได้ชื่อว่าประมาทด้วยเช่นกัน พิพากษาว่านายเคลื่อนจำเลยและนายแม้นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 29, 66 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2481 มาตรา 4 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2508 มาตรา 13 แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291ซึ่งเป็นบทหนักแต่เพียงมาตราเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้วางโทษจำคุกนายแม้นมีกำหนด 6 ปี จำคุกนายเคลื่อนจำเลยมีกำหนด 4 ปี ให้เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ของนายแม้นและของนายเคลื่อนจำเลยเสียด้วย
จำเลยและนายแม้นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงทางด้านนายแม้นผู้ขับรถกรมทางหลวงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่นายแม้นไม่ขับรถให้อยู่ในเส้นทางจราจรของตน และไม่หักรถกลับเข้าทางของตนเสีย แต่ยังอยู่ห่างในระยะไกล การชนกันเป็นผลจากความประมาทของนายแม้น ส่วนจำเลยนั้นฟังข้อเท็จจริงว่าได้ชลอความเร็วลงบ้าง และแม้มิได้หยุดรถตามฟ้องโจทก์ก็จริง แต่ตามพระราชบัญญัติจราจรมิได้บัญญัติให้ผู้ขับขี่ฝ่ายหนึ่งต้องหยุดรถในกรณีที่ผู้ขับขี่อีกฝ่ายหนึ่งขับมาผิดทางจราจรจึงไม่อาจอาศัยพระราชบัญญัติจราจรปรับว่าจำเลยประมาทได้ และวินิจฉัยว่าในพฤติการณ์ที่จำเลยประสบ จำเลยย่อมมีความคาดคิดเช่นคนขับรถทั่วไปว่าเมื่อใกล้จะสวนกัน รถที่ขับกินทางสวนกันมาก็คงจะบังคับรถให้เข้าทางของตนแต่เมื่อนายแม้นมิได้ทำไปเช่นนั้น จำเลยก็จะต้องตัดสินใจกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งคือหลบไปซ้ายหรือขวา เพราะจะหยุดรถก็จะหลีกการชนไม่พ้นเสียแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้แซงรถแท๊กซี่ขณะจะเกิดเหตุดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยสรุปแล้วศาลอุทธรณ์เห็นว่าการที่จำเลยไม่หยุดรถ มิใช่การกระทำที่ปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจำต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์แต่เป็นเพราะจำเลยคิดไม่ถึงว่านายแม้นจะปฏิบัติในการขับรถแตกต่างจากคนขับรถอื่น ๆ พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับคดีจำเลย นอกนั้นให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยได้เห็นรถยนต์บรรทุกที่นายแม้นขับสวนมาในระยะห่างไปไม่น้อยกว่า 50 เมตร แล่นกินเข้ามาในทางของจำเลยด้วยความเร็วสูงและส่ายไปมา เมื่อเป็นดังนี้การที่จำเลยไม่หยุดรถหรือชลอรถแอบเข้าข้างทางเสียตั้งแต่ได้เห็นรถบรรทุกแล่นมาด้วยลักษณะผิดปกติแต่แรกแต่กลับยังคงขับรถต่อไป และเพิ่งมาห้ามล้อเมื่อเข้ามาใกล้กันเพียงระยะ 7-8 เมตร ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ จำเลยจึงมีความผิดฐานประมาท พิพากษาแก้ให้บังคับคดีไปตามศาลชั้นต้น