แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำขอให้พิจารณาใหม่นั้น คู่ความจะต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงเหตุที่ขาดนัดข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล และเหตุแห่งการยื่นคำขอล่าช้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคท้าย (เดิม)
คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวแต่เพียงว่า จำเลยเพิ่งพบคำบังคับ โดยไม่ทราบมาก่อนว่าถูกฟ้อง สอบถามคนในบ้านได้ความว่าเก็บคำบังคับแล้วลืมนำมาให้จำเลย ส่วนหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่มีผู้ใดทราบ หากทราบจำเลยจะต้องยื่นคำให้การต่อสู้คดี จำเลยมีทางชนะคดีโจทก์ได้ เนื่องจากจำเลยมิได้ผิดนัดชำระหนี้ต่อโจทก์ข้อความในคำขอดังกล่าวไม่ได้กล่าวแสดงเหตุละเอียดและชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องในส่วนใดอย่างไร ทั้งไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่า หากพิจารณาใหม่แล้ว ศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างจากที่ได้พิพากษาไปแล้วจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคท้าย (เดิม)
คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคท้าย (เดิม) กรณีต้องยกคำร้องอยู่แล้ว แม้ศาลฎีกาจะวินิจฉัยฎีกาของจำเลยให้ก็ไม่เป็นประโยชน์แก่คดี ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 1,249,343.87 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ19 ต่อปีในต้นเงิน 1,099,828.48 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย 2 ปี ต่อหนึ่งครั้ง ครั้งละ 2,528 บาทเริ่มชำระวันที่ 31 มีนาคม 2542 และต่อไปทุก 2 ปี จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาให้พิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวและพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,249,343.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีในต้นเงิน 1,099,828.48 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยชำระค่าเบี้ยประกันอัคคีภัยแก่โจทก์ทุก 2 ปีต่อหนึ่งครั้ง ครั้งละ 2,528 บาท เริ่มชำระวันที่ 31 มีนาคม 2542เป็นต้นไปและต่อไปทุก 2 ปี จนกว่าชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ว่า แม้มีการปิดคำบังคับในวันที่ 17 ตุลาคม 2541 แต่จำเลยพบคำบังคับเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม2541 จึงทราบว่าโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ จำเลยสอบถามคนในบ้านได้ความว่าได้เก็บคำบังคับแล้วลืมนำมาให้จำเลย ส่วนหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์ไม่มีผู้ใดทราบ หากจำเลยทราบว่าถูกฟ้องจำเลยต้องยื่นคำให้การต่อสู้คดีจำเลยมีทางชนะคดีโจทก์ได้เนื่องจากจำเลยมิได้ผิดนัดชำระหนี้ต่อโจทก์
ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องแล้วเห็นว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ พ้นกำหนด 15 วัน นับแต่วันส่งคำบังคับให้จำเลย ที่จำเลยอ้างว่าเพิ่งทราบคำบังคับเนื่องจากคนในบ้านเก็บและลืมนำคำบังคับมามอบให้จำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้อันจะมีเหตุให้จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เกินกำหนด 15 วัน จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย คืนค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ยกอุทธรณ์ของจำเลยโดยเห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นเป็นการไม่ชอบและคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยระบุเหตุแห่งการยื่นคำร้องขอล่าช้าไว้แล้ว ศาลชั้นต้นจึงไม่อาจยกคำร้องของจำเลยโดยไม่ทำการไต่สวนก่อน นั้นเห็นว่า คำขอให้พิจารณาใหม่นั้นคู่ความจะต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงเหตุที่ขาดนัดข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล และเหตุแห่งการยื่นคำขอล่าช้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคท้าย (เดิม) ปรากฏว่า คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวแต่เพียงว่า จำเลยเพิ่งพบคำบังคับเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2541 โดยไม่ทราบมาก่อนว่าถูกฟ้อง สอบถามคนในบ้านได้ความว่า เก็บคำบังคับแล้ว ลืมนำมาให้จำเลย ส่วนหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่มีผู้ใดทราบ หากทราบจำเลยจะต้องยื่นคำให้การต่อสู้คดี จำเลยมีทางชนะคดีโจทก์ได้ เนื่องจากจำเลยมิได้ผิดนัดชำระหนี้ต่อโจทก์ ข้อความในคำขอดังกล่าวปรากฏชัดแจ้งแล้วว่าไม่ได้กล่าวแสดงเหตุละเอียดและชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ชอบ หรือไม่ถูกต้องในส่วนใดอย่างไร ทั้งไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่า หากพิจารณาใหม่แล้ว ศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างจากที่ได้พิพากษาไปแล้ว คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 วรรคท้าย (เดิม)กรณีต้องยกคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้แม้ศาลฎีกาจะวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยให้ก็ไม่เป็นประโยชน์แก่คดีแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
พิพากษายกฎีกาของจำเลย คืนค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาแก่จำเลย