คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7602/2553

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์โดยตรง แต่เมื่อจำเลยแสดงเจตนาโดยทำบันทึกข้อตกลงให้โจทก์ระบุว่า จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามเช็คที่ฟ้องจำนวน 431,103 บาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนี้จำนวน 1,565,486 บาท ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ โดยบันทึกดังกล่าวมิได้ระบุเลยว่าจำเลยกระทำการแทนบริษัท ซ. ที่จำเลยเป็นกรรมการบริษัทอยู่แสดงให้เห็นถึงการที่จำเลยทำบันทึกข้อตกลงเป็นส่วนตัวยอมผูกพันตนเข้าเป็นลูกหนี้ของโจทก์เพื่อชำระหนี้จำนวน 1,565,486 บาท อีกคนหนึ่ง เมื่อโจทก์ไม่รู้เจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของจำเลยว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์เพียง 431,103 บาท ส่วนหนี้ที่เหลือจำเลยมีเจตนาให้มีผลผูกพันบริษัท ซ. อันจะเป็เหตุให้การแสดงเจตนาตกเป็นโมฆะตามป.พ.พ. มาตา 154 จำเลยจึงต้องผูกพันตามเจตนาที่แสดงออกมานั้น เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คและจำเลยไม่ผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ตามที่ตกลงจำเลยจึงเป็นหนี้โจทก์จำนวน 1,565,486 บาท ซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท ที่จะฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายได้และโจทก์มีสิทธิที่จะเรียกชำระหนี้จากจำเลยหรือบริษัท ซ. คนใดคนหนึ่งได้ การที่โจทก์ไม่เลือกใช้สิทธิบังคับเอกแก่บริษัท ซ. จึงไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
ก่อนฟ้องโจทก์ได้ตรวจสอบการถือกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดินซึ่งจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตแต่ไม่พบทรัพย์สินของจำเลย นอกจากจำเลยถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 คดีแรกแล้วจำเลยยังถูกฟ้องในความผิดเดียวกันอีก 3 คดี ต่อมาจำเลยเสนอขอผ่อนชำระหนี้ให้เจ้าหนี้อื่นซึ่งเป็นผู้เสียหายทั้ง 3 คดีดังกล่าว กรณีเป็นเรื่องที่จำเลยเสนอคำขอประนอมหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตั้งแต่สสองคนขึ้นไปจึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามพ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 8 (5) (8) ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวนเงิน 431,103 บาท เพื่อชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนของจำนวนหนี้ทั้งหมด 1,565,486 บาท แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลย ต่อมาพนักงานอัยการยื่นฟ้องจำเลย วันที่ 24 สิงหาคม 2548 จำเลยทำบันทึกข้อตกลงยินยอมผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน 1,565,486 บาท โจทก์จึงถอนคำร้องทุกข์และศาลจำหน่ายคดีจากสารบบความ ภายหลังจากทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวแล้วจำเลยผิดนัดชำระหนี้ โจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยไม่ชำระ จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การ จำเลยสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้โจทก์ในฐานะกรรมการของบริษัทแซมคอมส์ จำกัด ในการทำบันทึกข้อตกลงจำเลยทักท้วงแล้วว่าหนี้จำนวน 1,565,486 บาท เป็นหนี้ของบริษัท ไม่ใช่หนี้ส่วนตัว ทั้งจำเลยกระทำการภายในขอบวัตถุประสงค์ของบริษัท ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง บริษัทแดทคอมส์ จำกัด สามารถชำระหนี้แก่โจทก์ได้เนื่องจากมีสิทธิเรียกร้อง
ให้บริษัทอินโปร คอมแทค จำกัด ชำระเงินจำนวน 5,692,302 บาท โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้โดยส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์เพื่อไม่ให้จำเลยทราบเรื่อง กรณีจึงมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14 และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยเป็นกรรมการบริษัทแซมคอมส์ จำกัด ซึ่งค้างชำระหนี้โจทก์จำนวน 1,565,486 บาท จำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวนเงิน 431,103 บาท เพื่อชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์ แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลย ต่อมาพนักงานอัยการยื่นฟ้องจำเลย จำเลยทำบันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ 24 สิงหาคม 2548 โจทก์จึงถอนคำร้องทุกข์และศาลจำหน่ายคดีดังกล่าวจากสารบบความ จำเลยถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 อีก 3 คดี จำเลยเสนอขอผ่อนชำระหนี้ให้เจ้าหนี้อื่นซึ่งเป็นผู้เสียหายทั้ง 3 คดี ดังกล่าว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท และโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยจะมิได้เป็นหนี้โจทก์โดยตรง แต่เมื่อจำเลยแสดงเจตนาโดยทำบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ. 4 ระบุข้อความว่า จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามเช็คที่ฟ้องจำนวน 431,103 บาท ซึ่งหนี้ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของหนี้จำนวน 1,565,486 บาท ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่และจำเลยจะผ่อนชำระแก่โจทก์ 18 เดือนแรก เดือนละ 6,000 บาท และอีก 12 เดือนหลัง เดือนละ 35,000 บาท ส่วนที่เหลือจากยอดหนี้ทั้งหมดจะชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือน โดยบันทึกดังกล่าวมิได้ระบุเลยว่าจำเลยกระทำการแทนบริษัทแซมคอมส์ จำกัด ย่อมแสดงให้เห็นถึงการที่จำเลยทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นส่วนตัวยอมผูกพันตนเข้าเป็นลูกหนี้ของโจทก์เพื่อชำระหนี้จำนวน 1,565,486 บาท อีกคนหนึ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่าคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งคือโจทก์จะได้รู้เจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของจำเลยว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์เพียง 431,103 บาท ส่วนหนี้ที่เหลือจำเลยมีเจตนาให้มีผลผูกพันบริษัทแซมคอมส์ จำกัด อันจะเป็นเหตุให้การแสดงเจตนาตกเป็นโมฆะตามที่บัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 154 จำเลยจึงต้องผูกพันตามเจตนาที่แสดงออกมานั้น เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวและจำเลยไม่ผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ตามที่ตกลง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจำนวน 1,565,486 บาท จำเลยจึงเป็นหนี้โจทก์เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท และโจทก์มีสิทธิที่จะเรียกชำระหนี้จากจำเลยหรือบริษัทแซมคอมส์ จำกัด คนใดคนหนึ่งได้ การที่โจทก์ไม่เลือกใช้สิทธิบังคับเอาแก่บริษัทแซมคอมส์ จำกัด จึงไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวและมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่ เห็นว่า ได้ความจากทางนำสืบโจทก์ว่า ก่อนฟ้องคดีโจทก์ตรวจสอบการถือกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดินซึ่งจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตตามเอกสารหมาย จ. 11 ปรากฏว่าไม่พบทรัพย์สินของจำเลยแต่อย่างใด และนอกจากจำเลยถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 คดีแรกแล้ว จำเลยยังถูกฟ้องในความผิดเดียวกันอีก 3 คดี ต่อมาจำเลยเสนอขอผ่อนชำระหนี้ให้เจ้าหนี้อื่นซึ่งเป็นผู้เสียหายทั้ง 3 คดี ดังกล่าว กรณีเป็นเรื่องที่จำเลยเสนอคำขอประนอมหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตั้งแต่สองคนขึ้นไป จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 8 (5) (8) ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเลยมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว แต่จำเลยกล่าวอ้างในอุทธรณ์เพียงว่าจำเลยมีความสามารถชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ทั้งหมด เนื่องจากจำเลยยังดำเนินกิจการหลายอย่าง ทั้งยังมีภรรยา ญาติพี่น้องและเพื่อนที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือได้ โดยไม่มีพยานหลักฐานใดมาสนับสนุนเลยว่าจำเลยมีทรัพย์สินใดเพียงพอชำระหนี้ทั้งหมด ข้อกล่าวอ้างของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมาย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว และไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share