แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นเบอร์ 12 ยิงผู้เสียหายในระยะห่างเพียง 15 เมตร หากจำเลยมีเจตนาฆ่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงก็น่าจะถูกผู้เสียหายหรือ ร. บ้างแต่ลูกกระสุนปืนก็หาได้ถูกผู้หนึ่งผู้ใดไม่ ไม่ปรากฏว่าวิถีกระสุนปืนไปในทิศทางที่ใกล้กับผู้เสียหายหรือไม่อย่างไรหลังจากที่ผู้เสียหายเดินไปเพื่อแจ้งให้บิดาทราบก็พบจำเลยยกปืนวิ่งมาทางผู้เสียหายห่าง 20 เมตร แต่จำเลยก็หาได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายไม่ทั้งที่มีโอกาสจะกระทำเช่นนั้นได้ประกอบกับหลังจากที่ ส. ได้ยินเสียงปืนหันมาดูตะโกนบอกจำเลยว่า ทำอย่างนี้ทำไมให้รีบไป และ ส. กลับไปทำอาหารต่อ แสดงว่า ส. ก็มิได้ให้ความสนใจต่อการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิง ผู้เสียหายกับจำเลยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันและเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน ไม่มีเหตุผลที่จำเลยจะใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า หลังเกิดเหตุจำเลยก็มิได้หลบหนีคงอยู่ที่บ้านมารดาจำเลยในหมู่บ้านเดียวกันกับผู้เสียหาย ต่อมาได้เข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจและผู้เสียหายก็มิได้ไปแจ้งความในวันเกิดเหตุทั้งที่สถานีตำรวจอยู่ห่างเพียง 20 กิโลเมตร และบิดาผู้เสียหายเป็นผู้ใหญ่บ้านท้องที่ที่เกิดเหตุก็มิได้ไปสอบถามจำเลย ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะทำร้ายหรือฆ่าผู้เสียหาย จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงในหมู่บ้าน จำเลยจึงมีความผิดฐานยิงปืนโดยใช่เหตุในหมู่บ้านตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 376, 80, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 376 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามมาตรา 90 จำคุก 10 ปีคำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายและฐานยิงปืนโดยใช่เหตุในหมู่บ้านหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวโจทก์มีนายวิษณุ มงคลเคหา ผู้เสียหาย และนายระเบียบ เมืองแสนหลานชายผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า ระหว่างที่ผู้เสียหายและนายระเบียบเดินทางจะไปตกปลาที่หนองน้ำ พบจำเลยนั่งดื่มสุราคนเดียวที่บ้านนายสมพงษ์ ดำสิม ขณะที่ผู้เสียหายอยู่ห่างจำเลยประมาณ 15 เมตร จำเลยใช้อาวุธปืนเล็งไปทางผู้เสียหายและยิง 1 นัด แต่ไม่ถูกผู้เสียหาย พยานโจทก์ทั้งสองนี้เบิกความสอดคล้องต้องกันและเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกับจำเลยรู้จักกับจำเลยมาก่อน ทั้งไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์ทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยประกอบกับในขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองเห็นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงมาทางผู้เสียหายนอกจากนั้น นายสมพร บรรเทาพยานโจทก์เบิกความว่าในวันเกิดเหตุพยานได้ยินเสียงปืน 1 นัด พยานจึงเดินไปยังบ้านที่มีเสียงปืนดังเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก โดยจำเลยพกพาอาวุธปืนสั้นไว้ที่เอวด้านหลัง พยานสอบถามนายสมพงษ์ว่าใครยิงปืน นายสมพงษ์แจ้งว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายซึ่งนายสมพงษ์ เจ้าของร้านที่เกิดเหตุก็เบิกความยืนยันว่าในวันเกิดเหตุจำเลยมาซื้อสุราจากพยานและนั่งดื่มสุราบริเวณเก้าอี้หินอ่อนหน้าร้าน ระหว่างที่พยานกำลังทำอาหารได้ยินจำเลยตะโกนขึ้นว่า “ได้เสีย” และได้ยินเสียงปืน 1 นัด พยานหันไปดูเห็นจำเลยกำลังหักอาวุธปืนลูกซองสั้นเอากระสุนปืนออกและใส่กระสุนใหม่ พยานเห็นผู้เสียหายและนายระเบียบวิ่งอยู่ที่หน้าบ้านของนางแหล่ ที่เข้าใจว่าจำเลยยิงผู้เสียหายเนื่องจากขณะที่ได้ยินเสียงปืนเห็นผู้เสียหายวิ่งอยู่ที่หน้าบ้านนางแหล่พยานโจทก์ทั้งสองต่างไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย ไม่มีเหตุผลที่จะเบิกความปรักปรำให้ร้ายจำเลย พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมีน้ำหนักให้รับฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงมาทางผู้เสียหาย พยานหลักฐานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ อย่างไรก็ตามปรากฏว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงไม่ถูกผู้เสียหายและไม่ปรากฏหลักฐานว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงมาทางผู้เสียหายมีวิถีกระสุนใกล้หรือไกลจากผู้เสียหายอย่างไรตามคำเบิกความของนายระเบียบก็ได้ความแต่เพียงว่าจำเลยยกปืนขึ้นยิงมาทางพยาน 1 นัด และผู้เสียหายก็เบิกความด้วยว่าหลังจากที่ผู้เสียหายวิ่งไปหลบที่บ้านนางแหล่ห่างจุดที่เกิดเหตุประมาณ 10 เมตร ผู้เสียหายเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปทางบ้านจำเลย ผู้เสียหายกับนายระเบียบตั้งใจจะไปแจ้งให้บิดาผู้เสียหายทราบ เมื่อผ่านวัดสิงขรพบจำเลยอีก จำเลยยกปืนวิ่งมาหาผู้เสียหายอีกห่าง 20 เมตร พยานวิ่งหนีกลับไปทางที่เดินมาแล้วไปหลบอยู่ที่บ้านนายเปลี่ยน เห็นว่า การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงในระยะห่างเพียง 15 เมตร ด้วยอาวุธปืนลูกซองสั้นเบอร์ 12 หากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย กระสุนปืนที่จำเลยยิงก็น่าจะถูกผู้เสียหายหรือนายระเบียบบ้าง แต่ลูกกระสุนปืนก็หาได้ถูกผู้หนึ่งผู้ใดไม่ และไม่ปรากฏว่าวิถีกระสุนปืนไปในทิศทางที่ใกล้กับผู้เสียหายหรือไม่อย่างไร หลังจากที่ผู้เสียหายเดินไปเพื่อแจ้งให้บิดาทราบก็พบจำเลยยกปืนวิ่งมาทางผู้เสียหายห่าง 20 เมตร แต่จำเลยก็หาได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายไม่ทั้งที่มีโอกาสที่จะกระทำเช่นนั้นได้ อีกทั้งตามคำเบิกความของนายสมพงษ์ ดำสิม ก็ว่าหลังจากที่ได้ยินเสียงปืนหันมาดูตะโกนบอกจำเลยว่ามึงทำอย่างนี้ทำไมให้รีบไปและกลับไปทำอาหารต่อแสดงว่านายสมพงษ์เองก็มิได้ให้ความสนใจต่อการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงน่าเชื่อว่านายสมพงษ์เองก็ไม่คิดว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จึงมิได้สนใจโดยเห็นว่ามิใช่เรื่องที่ร้ายแรง จากคำเบิกความของผู้เสียหายและจำเลยก็ได้ความว่า ผู้เสียหายกับจำเลยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน และเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันไม่มีเหตุผลที่จำเลยจะใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า หลังเกิดเหตุจำเลยก็มิได้หลบหนียังคงอยู่ที่บ้านมารดาจำเลย ในหมู่บ้านเดียวกันกับผู้เสียหาย และต่อมาได้เข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจ และผู้เสียหายก็มิได้ไปแจ้งความในวันเกิดเหตุทั้งที่สถานีตำรวจอยู่ห่างเพียง 20 กิโลเมตรและบิดาผู้เสียหายเป็นผู้ใหญ่บ้านท้องที่ที่เกิดเหตุก็มิได้ไปสอบถามจำเลย ทั้งที่เป็นเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่า การที่จำเลยใช้อาวุธยิงมาทางผู้เสียหายนั้น จำเลยมิได้มีเจตนาที่จะทำร้ายหรือฆ่าผู้เสียหายทั้งไม่ปรากฏทิศทางของวิถีกระสุนแน่ชัดอันจะเล็งเห็นผลว่าจะถูกผู้เสียหายได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายแต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงในหมู่บ้าน จำเลยจึงมีความผิดฐานยิงปืนโดยใช่เหตุในหมู่บ้านตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วนฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 376 ให้ลงโทษจำคุก 10 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1