แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จุดด่านตรวจที่จับกุมจำเลยได้อยู่ห่างจากเรือนจำประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นจุดตรวจค้นพบของกลางเท่านั้น ยังไม่ใช่จุดปฏิบัติการบังคับเครื่องบินซึ่งจำเลยเคยมาทดสอบการใช้เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์บังคับด้วยวิทยุมาแล้ว ฉะนั้น เมื่อจำเลยจะปฏิบัติการบังคับเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ส่งโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์เข้าเรือนจำจึงอยู่ใกล้เรือนจำซึ่งสามารถกระทำได้ การกระทำของจำเลยถือว่าได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอดเนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้เสียก่อน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามนำโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์ซึ่งเป็นสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำ อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับของเรือนจำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 มาตรา 4, 45, 58 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 83 ริบเครื่องมือสื่อสารและอุปกรณ์สื่อสาร และหมวกนิรภัยติดกล้องขยาย 1 ชุด เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์บังคับด้วยวิทยุ 1 เครื่อง แบตเตอรี่สำรองเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ จำนวน 2 ก้อนใหญ่ แบตเตอรี่สำรองเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ จำนวน 2 ก้อนเล็ก อุปกรณ์ชาร์จหรือแปลงไฟ จำนวน 1 อัน วิทยุบังคับเฮลิคอปเตอร์พร้อมกล่อง จำนวน 1 ชุด ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 มาตรา 55 (ที่ถูก 45) วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 ลงโทษจำคุก 8 เดือน ริบเครื่องมือสื่อสาร อุปกรณ์สื่อสาร หมวกนิรภัยติดกล้องขยาย จำนวน 1 ชุด เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์บังคับวิทยุ จำนวน 1 เครื่อง แบตเตอรี่สำรองเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ จำนวน 2 ก้อนใหญ่ แบตเตอรี่สำรองเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์จำนวน 2 ก้อนเล็ก อุปกรณ์ชาร์จไฟ จำนวน 1 ชุด วิทยุบังคับเฮลิคอปเตอร์พร้อมกล่อง จำนวน 1 ชุดของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า จุดที่ตรวจค้นพบของกลางอยู่ห่างจากเรือนจำกลางคลองไผ่ถึง 10 กิโลเมตร จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะสามารถใช้เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ดังกล่าวจากจุดที่ถูกจับกุมบังคับให้ไปส่งของที่เรือนจำกลางคลองไผ่ได้นั้น นายเผด็จพยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยเคยมาทดสอบการใช้เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์บังคับด้วยวิทยุอยู่บริเวณทิศใต้ของเรือนจำซึ่งอยู่ห่างจากกำแพงสูงประมาณ 50 เมตร เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2553 จึงได้แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์บังคับด้วยวิทยุอยู่ท้ายรถหลายเครื่องและพบอาวุธปืนอยู่ในรถ เจ้าพนักงานตำรวจได้จับกุมจำเลยดำเนินคดีในข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรและจำเป็นเร่งด่วน ปรากฏตามบันทึกการจับโดยเจ้าพนักงาน เห็นว่า คดีนี้จุดด่านตรวจที่จับกุมจำเลยได้ เป็นจุดตรวจค้นพบของกลางเท่านั้น ยังไม่ใช่จุดปฏิบัติการบังคับเครื่องบินซึ่งจำเลยเคยมาทดสอบการใช้เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์บังคับด้วยวิทยุอยู่ทางทิศใต้ของกำแพงเรือนจำมาแล้ว ฉะนั้น เมื่อจำเลยจะปฏิบัติการบังคับเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ส่งโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์เข้าเรือนจำจึงอยู่ใกล้เรือนจำซึ่งสามารถกระทำได้ มิใช่ระยะห่างถึง 10 กิโลเมตร ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัย การกระทำของจำเลยถือว่าได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอดเนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้เสียก่อน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามนำโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์ซึ่งเป็นสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำ อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับของเรือนจำตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น