แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อโจทก์อ้างว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ชอบและขอให้ศาลเพิกถอน โจทก์ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นการไม่ชอบตามที่กล่าวอ้าง สำเนาเอกสารที่จำเลยอ้างเป็นเพียงพยานหลักฐานประกอบกับพยานอื่น ทั้งเมื่อจำเลยอ้างส่งสำเนาเอกสารดังกล่าว โจทก์มิได้คัดค้านว่าต้นฉบับไม่มี หรือเอกสารปลอม หรือสำเนาไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 ศาลย่อมรับฟังสำเนาเอกสารนั้นได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 93 การกำหนดเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 22 เจ้าพนักงานประเมินต้องกำหนดเสียตั้งแต่เบื้องต้นที่ทำการประเมินภาษี การที่เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินครั้งแรกโดยกำหนดเงื่อนไขว่าสำหรับเงินเพิ่มพิจารณาลดให้คงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเงินเพิ่มตามกฎหมาย หากอุทธรณ์การประเมินจะไม่ลดเงินเพิ่มให้และจะประเมินเพิ่มเติมต่อไป เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข เจ้าพนักงานประเมินจึงทำการประเมินในครั้งที่สองเพิ่ม โดยเรียกเงินเพิ่มเติมในส่วนที่ลดให้นั้นเป็นการอาศัยเงื่อนไขในอนาคตมากำหนดเงินเพิ่มเติมเพิ่มเติม ทั้งเป็นเงื่อนไขที่มิให้โจทก์ปฏิบัติตามสิทธิที่กฎหมายกำหนดไว้ การประเมินในกรณีที่สองนี้ไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่โจทก์โดยอ้างว่าโจทก์มีเงินได้จากการซื้อและขายทองคำแท่งไม่ลงบัญชีจำนวนหนึ่งซึ่งไม่เป็นความจริงหนังสือแจ้งประเมินยังระบุด้วยว่า “สำหรับเงินเพิ่มพิจารณาลดให้คงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเงินเพิ่มตามกฎหมาย หากอุทธรณ์การประเมินจะไม่ลดเงินเพิ่มให้และจะประเมินเพิ่มเติมต่อไป”เมื่อโจทก์อุทธรณ์การประเมิน เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งการประเมินเงินเพิ่มเพิ่มขึ้นอีกเพราะเหตุที่โจทก์อุทธรณ์การประเมินโจทก์ได้อุทธรณ์การประเมินครั้งหลังอีก คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองครั้ง ซึ่งเป็นการไม่ชอบเพราะเจ้าพนักงานประเมินใช้อำนาจโดยอำเภอใจห้ามไม่ให้โจทก์ใช้สิทธิตามกฎหมายปิดโอกาสที่จะอุทธรณ์การประเมิน ขอให้เพิกถอนหนังสือแจ้งการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ทุกฉบับ
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำเพราะเจ้าพนักงานเคยแจ้งการประเมินภาษีการค้าในเหตุเดียวกันนี้มาแล้ว เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนศาลพิพากษายกฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนเฉพาะการประเมินเงินเพิ่มเพิ่มเติมกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่เกี่ยวกับการประเมินดังกล่าวคำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้แจ้งการประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลพร้อมเงินเพิ่มสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2521 เป็นเงินทั้งสิ้น74,240.64 บาท และสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2522 เป็นเงินทั้งสิ้น339,660.34 บาท ตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 1070/2/03505 ถึง 6 รวม 2 ฉบับ ในหนังสือดังกล่าวได้กำหนดเงื่อนไขว่า สำหรับเงินเพิ่มพิจารณาลดให้ คงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเงินเพิ่มตามกฎหมาย หากอุทธรณ์การประเมินจะไม่ลดเงินเพิ่มให้และจะประเมินเพิ่มเติมต่อไป โจทก์ได้อุทธรณ์การประเมินคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ให้ยกอุทธรณ์ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ 109/2532/2 เมื่อโจทก์อุทธรณ์การประเมินเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยจึงได้มีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลให้โจทก์เสียเงินเพิ่มเพิ่มอีก โดยอ้างว่าในการประเมินภาษีรายนี้ได้ลดเงินเพิ่มให้คงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเงินเพิ่มตามกฎหมาย แต่โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินจึงไม่อยู่ในข่ายที่จะได้ลดเงินเพิ่ม จึงประเมินเฉพาะเงินเพิ่มเพิ่มเติมสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2521 เป็นเงิน 6,749.15 บาท ปี 2522 เป็นเงิน 30,878.21 บาทโจทก์ได้อุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ 110/2532/2
เบื้องต้นจะได้วินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์มีปัญหาว่า การประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 1070/2/03505 ถึง 6 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ 109/2532/2ชอบหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์อ้างว่า การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ชอบ และขอให้ศาลเพิกถอนการประเมินกับคำวินิจฉัยดังกล่าว โจทก์ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นการไม่ชอบตามที่กล่าวอ้างแล้ววินิจฉัยพยานโจทก์ว่า พยานโจทก์เบิกความสนับสนุนให้เห็นว่าโจทก์ได้ซื้อทองคำแท่งจากบริษัทไทยสหกาญจนกิจ จำกัด รวมทั้งจำนวน 6 ครั้ง ที่โจทก์ อ้างว่าไม่ได้ซื้อด้วยและจำเลยมีพยานหลักฐานสำเนาบิลเงินสดที่บริษัทไทยสหกาญจนกิจ จำกัด ออกไว้เป็นหลักฐานที่แสดงว่ารับเงินค่าซื้อทองคำแท่งจากโจทก์ และรายงานของบริษัทไทยสหกาญจนกิจ จำกัด ที่รายงานต่อธนาคารแห่งประเทศไทยถึงจำนวนทองคำแท่งและราคาที่โจทก์ซื้อจากบริษัทไทยสหกาญจนกิจจำกัด ซึ่งเป็นหลักฐานเพียงพอที่เจ้าพนักงานของจำเลยจะทำการประเมินได้ แม้บิลเงินสดดังกล่าวจะเป็นเพียงสำเนาเอกสาร ก็เป็นเพียงพยานหลักฐานประกอบกับพยานอื่น ทั้งเมื่อจำเลยอ้างถึงสำเนาเอกสารดังกล่าว โจทก์ก็มิได้คัดค้านว่าต้นฉบับไม่มีหรือเอกสารปลอมหรือสำเนาไม่ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 125 ศาลย่อมรับฟังสำเนาเอกสารนั้นได้ มิใช่เป็นการรับฟังพยานหลักฐานโดยฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93พยานหลักฐานจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานโจทก์ คดีรับฟังได้ว่าโจทก์ได้ซื้อทองคำแท่งจากบริษัทไทยสหกาญจนกิจ จำกัด ในจำนวน6 ครั้ง ที่โจทก์ปฏิเสธนั้นด้วย โจทก์ประกอบกิจการซื้อขายทองคำย่อมจะขายทองคำที่ซื้อมาไป และมีเงินได้อันจะต้องเสียภาษีการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้ว อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น
ส่วนอุทธรณ์จำเลยมีปัญหาว่า การประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 10 70/2/03536 ถึง 7 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ 110/2532/2 ชอบหรือไม่ เห็นว่า การประเมินรายนี้เป็นการประเมินครั้งที่สองสืบเนื่องมาจากการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลครั้งแรกตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 10 70/2/03505ถึง 6 โดยในการประเมินครั้งแรกได้กำหนดเงื่อนไขว่า สำหรับเงินเพิ่มพิจารณาลดให้ คงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเงินเพิ่มตามกฎหมายหากอุทธรณ์การประเมินจะไม่ลดเงินเพิ่มให้และจะประเมินเพิ่มเติมต่อไป เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข เจ้าพนักงานประเมินจึงได้ทำการประเมินในครั้งนี้เพิ่ม โดยเรียกเงินเพิ่มเพิ่มเติมในส่วนที่ลดให้นั้น เห็นว่า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 22 ที่ใช้บังคับในขณะนั้นในการประเมินภาษี ผู้ต้องเสียภาษีอาจต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มซึ่งเป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานประเมินที่จะให้โจทก์เสียเงินเพิ่มเท่าใด ภายในขอบที่กฎหมายกำหนด การกำหนดเงินเพิ่มต้องกำหนดเสียตั้งแต่เบื้องต้นที่ทำการประเมินภาษี เพราะในการไต่สวนย่อมจะทราบพฤติการณ์ของโจทก์ในการหลีกเลี่ยงภาษี และควรกำหนดเงินเพิ่มเท่าใดเจ้าพนักงานประเมินสามารถใช้ดุลพินิจกำหนดเงินเพิ่มได้ทันทีในการเสียเงินเพิ่มย่อมผูกพันอยู่กับจำนวนภาษีที่จะต้องชำระเมื่อแจ้งจำนวนเงินภาษีที่จะต้องชำระ ถ้ามีเงินเพิ่มต้องกำหนดไปให้ครบถ้วนในคราวเดียวกัน มิใช่จะอาศัยเงื่อนไขในอนาคตมากำหนดเงินเพิ่มเพิ่มเติม ทั้งเป็นเงื่อนไขที่มิให้โจทก์ปฏิบัติตามสิทธิที่กฎหมายกำหนดไว้ การที่เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินเงินเพิ่มเพิ่มเติมโดยอ้างเหตุว่า โจทก์ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขย่อมไม่ชอบและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในส่วนนี้ก็ไม่ชอบเช่นกัน
พิพากษายืน