คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7595/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งรับอุทธรณ์และอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาชำระเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาออกไป ซึ่งเป็นการสั่งในวันที่จำเลยยื่นอุทธรณ์และคำร้องขออนุญาตให้ขยายระยะเวลาชำระเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษานั่นเอง และในคำร้องของจำเลยดังกล่าวมีหมายเหตุไว้ว่า “ข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว” ถือได้ว่าจำเลยได้ทราบคำสั่งของศาลที่อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาชำระเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาตามที่จำเลยขอออกไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อถึงกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และไม่วางเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษา จึงถือว่าจำเลยไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาลภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการดังกล่าว อันเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ฯ พ.ศ. 2539 มาตรา 45 ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 246 และ 174 (2)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๓,๑๓๓,๔๓๐ ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๓ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๔๐ เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่มิให้คิดดอกเบี้ยก่อนฟ้องเกินกว่าจำนวน ๘๐๖,๘๗๙.๖๘ ดอลลาร์สหรัฐ หากจำเลยไม่สามารถชำระเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐได้ ให้ชำระเป็นเงินสกุลบาทในอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ที่ขายให้แก่ลูกค้าในวันที่จำเลยชำระเงิน หากไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่จำเลยชำระเงินให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราเช่นนั้นก่อนวันดังกล่าว ในกรณีธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศแจ้งให้ทราบถึงอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ ก็ให้ถืออัตราดังกล่าวเป็นเกณฑ์คำนวณกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๒๕๐,๐๐๐ บาท คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาด้วย
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยและอนุญาตให้ขยายระยะเวลาชำระเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์กับเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาตามที่จำเลยขอดังกล่าวออกไปเป็นภายในวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๔๓ แต่เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษามาชำระ เจ้าหน้าที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจึงรายงานให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางทราบในวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๓ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจึงให้ส่งสำนวนให้ศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่งเกี่ยวกับกรณีทิ้งอุทธรณ์
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ตามข้อเท็จจริงในสำนวนได้ความว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งรับอุทธรณ์และอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาชำระเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาออกไปเป็นภายในวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๔๓ ซึ่งเป็นการสั่งในวันที่จำเลยยื่นอุทธรณ์และคำร้องขออนุญาตให้ขยายระยะเวลาชำระเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาคือวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ นั้นเอง และในคำร้องของจำเลยดังกล่าวมีหมายเหตุไว้ว่า “ข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว” ดังนั้น จึงถือได้ว่าจำเลยได้ทราบคำสั่งของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาชำระเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาตามที่จำเลยขอออกไปเป็นภายในวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๔๓ โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อถึงกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และไม่วางเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาเช่นนี้ กรณีจึงถือว่าจำเลยไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาลดังกล่าวภายในเวลาตามที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการดังกล่าว อันเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๔๕ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๖ และ ๑๗๔ (๒)
ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกา.

Share