คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7592/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 20 ได้บัญญัติวิธีดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาคดีของศาลแขวงไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับการทำคำพิพากษาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 186 มาใช้บังคับได้ ศาลชั้นต้นบันทึกคำฟ้อง คำรับสารภาพ และคำพิพากษาในบันทึกฉบับเดียวกันและอ่านให้คู่ความฟังในวันเดียวกัน จำเลยที่ 1 ที่ 2 รวมทั้งโจทก์ จำเลยที่ 3 และที่ 4 ก็ลงชื่อทราบไว้โดยไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เข้าใจข้อหาตามฟ้องแล้วจึงรับสารภาพ คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ , ๓๙๑ , ๘๓ ริบของกลาง
จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ , ๘๓ จำคุกคนละ ๒ เดือน จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๑ , ๘๓ ปรับคนละ ๑,๐๐๐ บาท จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ คงจำคุกคนละ ๑ เดือน จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ คงปรับคนละ ๕๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ , ๓๐ ริบของกลาง
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในปัญหาข้อกฎหมายตามที่ศาลชั้นต้นรับขึ้นมาว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกาว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๖ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฐานทำร้ายจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายของจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ ซึ่งความผิดตามมาตรานี้กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงซึ่งผู้พิพากษานายเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ตามมาตรา ๑๕ ประกอบมาตรา ๒๒ (๕) แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรมที่ใช้บังคับในขณะนั้น และในกรณีที่ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตามข้อหาที่พนักงานสอบสวนแจ้งในชั้นสอบสวน พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้บัญญัติถึงวิธีการที่พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการและศาลต้องปฏิบัติไว้ในมาตรา ๒๐ ว่า “… ให้พนักงานสอบสวนนำผู้ต้องหามายังพนักงานอัยการเพื่อฟ้องศาลโดยมิต้องทำการสอบสวน และให้ฟ้องด้วยวาจา ให้ศาลถามผู้ต้องหาว่าจะให้การประการใด และถ้าผู้ต้องหายังให้การรับสารภาพ ให้ศาลบันทึกคำฟ้อง คำรับสารภาพ และทำคำพิพากษาในบันทึกฉบับเดียวกัน แล้วให้โจทก์จำเลยลงชื่อไว้ในบันทึกนั้น…” จึงเป็นกรณีที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้บัญญัติวิธีดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาคดีของศาลแขวงไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับการทำคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๖ มาใช้บังคับในกรณีนี้ได้ตามที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกา เมื่อจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ยังให้การรับสารภาพในชั้นศาล การที่ศาลชั้นต้นบันทึกคำฟ้อง คำรับสารภาพ และคำพิพากษาในบันทึกฉบับเดียวกัน และอ่านให้คู่ความฟังในวันเดียวกันซึ่งจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ รวมทั้งโจทก์ จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ก็ลงชื่อทราบไว้แล้วโดยไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เข้าใจข้อหาตามฟ้องแล้วจึงรับสารภาพ คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว…
พิพากษายืน.

Share