คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7494/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหนังสือสัญญากู้เงินที่จำเลยอ้างเป็นพยานหลักฐานว่าลายมือชื่อที่เป็นชื่อโจทก์ในหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่อโจทก์ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์โต้แย้งแม้จำเลยจะแก้อุทธรณ์แต่ศาลชั้นต้นก็มีคำสั่งไม่รับคำแก้อุทธรณ์เนื่องจากจำเลยยื่นเกินกำหนดระยะเวลาข้อเท็จจริงที่ว่าลายมือชื่อโจทก์ในหนังสือสัญญากู้เงินไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นลายมือชื่อปลอม จึงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จะยกขึ้นวินิจฉัยก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์อันจะทำให้จำเลยมีสิทธิที่จะฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 28786ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ภายใน 7 วันนับแต่ศาลมีคำพิพากษาหากจำเลยไม่ส่งมอบ ให้ศาลพิพากษายกเลิกโฉนดที่ดินดังกล่าวและให้โจทก์มีสิทธิไปขอออกใบแทนต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดหนองคาย

จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 28786 ให้แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของโฉนดที่ดินพิพาทเลขที่ 28786 ซึ่งจำเลยเป็นผู้ยึดถือไว้มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยมีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินพิพาทของโจทก์ไว้หรือไม่ ที่จำเลยฎีกาทำนองว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีพิรุธยังฟังไม่ได้ว่าลายมือชื่อโจทก์ในหนังสือสัญญากู้เงินเป็นลายมือชื่อปลอมนั้น เห็นว่า คดีนี้แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้จำเลยชนะคดีโดยวินิจฉัยว่าโจทก์รู้เห็นและยินยอมให้นางแพนนำโฉนดที่ดินพิพาทไปเป็นประกันการกู้ยืมเงินจากจำเลย เมื่อโจทก์และนางแพนยังไม่ได้ชำระหนี้เงินกู้ยืม จำเลยจึงมีสิทธิยึดหน่วงโฉนดที่ดินพิพาทแต่ศาลชั้นต้นก็ฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหนังสือสัญญากู้เงินที่จำเลยอ้างเป็นพยานหลักฐานว่าลายมือชื่อที่เป็นชื่อโจทก์ในหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่อโจทก์ ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์โต้แย้ง แม้จำเลยจะแก้อุทธรณ์แต่ศาลชั้นต้นก็มีคำสั่งไม่รับคำแก้อุทธรณ์เนื่องจากจำเลยยื่นเกินกำหนดระยะเวลา ข้อเท็จจริงที่ว่าลายมือชื่อโจทก์ในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นลายมือชื่อปลอม จึงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จะยกขึ้นวินิจฉัยก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ อันจะทำให้จำเลยมีสิทธิที่จะฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าลายมือชื่อผู้กู้ยืมในหนังสือสัญญากู้เงินไม่ใช่ของโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์กู้ยืมเงินจำเลยแล้วมอบโฉนดที่ดินพิพาทให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกันดังที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินพิพาท ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าแม้จะฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทำสัญญากู้ยืมเงินจากจำเลยแต่พยานหลักฐานที่นำสืบมาฟังได้ว่าโจทก์รู้เห็นและยินยอมให้นางแพนนำโฉนดที่ดินพิพาทไปเป็นประกันการกู้ยืมเงินจำเลย การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าว จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้การที่ศาลชั้นต้นยกขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกคำให้การเป็นการไม่ชอบถือไม่ได้ว่าเป็นขอที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share