แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์เอารถยนต์ประกันภัยค้ำจุนไว้กับจำเลย ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย โจทก์ขับรถยนต์ชนราวสะพานและเสียหลักพุ่งตกลงบนหลังคาบ้านของ ม. โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยให้ชำระค่าเสียหายอันเกิดแก่ ม. ให้โจทก์ ดังนี้ เมื่อโจทก์มีความรับผิดตามกฎหมายเพื่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของ ม. โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในนามของโจทก์จากจำเลยผู้รับประกันภัยค้ำจุนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 เพราะกรณีเช่นนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องรับช่วงสิทธิแม้โจทก์จะยังมิได้ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่ ม. ก็ตาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 287,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 250,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ในวันเดียวกันกับที่จำเลยยื่นคำให้การ จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 24
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นว่า สิทธิตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนเป็นของบุคคลภายนอกผู้ต้องเสียหายเท่านั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ได้เอารถยนต์คันเกิดเหตุตามฟ้องประกันภัยค้ำจุนไว้ต่อจำเลย ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัยดังกล่าว โจทก์ได้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุชนราวสะพานกรุงธนบุรีและพุ่งตกลงบนหลังคาบ้านของนายมนู วงษ์จันทร์ ทำให้บ้านหลังดังกล่าวได้รับความเสียหาย โจทก์ยังไม่ได้ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายมนูปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีเพียงว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องประกันภัย ซึ่งโจทก์ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยในกรณีที่โจทก์ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดตามกฎหมายเพื่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก เนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์ที่ประกันภัยไว้ ความรับผิดของโจทก์ที่มีต่อนายมนูวงษ์จันทร์ ได้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่รถของโจทก์เสียหลักพุ่งตกลงบนหลังคาบ้านของนายมนูตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารท้ายฟ้อง ในหมวดที่ 2 ส่วนที่ 2การคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ข้อ 2.3 ระบุว่า “บริษัทจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย เพื่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกเนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์ในระหว่างระยะเวลาประกันภัย…”ดังนี้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนในนามของโจทก์จากจำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 887 แม้โจทก์จะยังมิได้ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายมนูก็ตามเพราะกรณีเช่นนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องรับช่วงสิทธิดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ได้ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง เมื่อคดีรับฟังได้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง แต่ยังมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า นายมนูได้รับความเสียหายเพียงใด จำเลยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายมนูครบถ้วนแล้วหรือไม่ และโจทก์ขับรถในขณะเมาสุราและไม่มีใบอนุญาตขับรถอันเป็นการผิดเงื่อนไขความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยหรือไม่ ซึ่งจะต้องมีการสืบพยานกันต่อไป จึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่