แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยกล่าวหมิ่นประมาทผู้พิพากษาว่า” อ้ายผู้พิพากษานี่ปรับกูหมื่นห้าได้กูจะต้องเตะมึง” ดังนี้เป็นการดูถูกเหยียดหยามพากพิงถึงตำแหน่งราชการทำให้ผู้พิพากษานั้นได้รับความอับอายเสียหาย จึงมีผิดฐานหมิ่นประมาทเจ้าพนักงานเพราะเหตุได้กระทำการตามหน้าที่ ตาม ม.116
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทและแต่ชกนายเชิญ โกศิน ผู้พิพากษาศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาขอให้ลงโทษตาม ก.ม.อาญา ม. ๒๕๕,๓๓๘,๑๑๖ จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดตาม ม.๑๑๖ กะทงหนึ่งและตาม ม. ๓๓๘(๓) อีกกะทงหนึ่ง ให้รวมกะทงลงโทษจำคุก ๓ เดือน ลดตาม ม. ๕๙ คงจำคุก ๑ เดือน ๑๕ วัน
โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่าไม่ผิด ม.๑๑๖ และแม้ผิดก็ขอให้ยกโทษจำคุก
ศาลฎีกาเห็นว่าการหมิ่นประมาทเจ้าพนักงานตามความใน ม.๑๑๖ ก.ม.อาญาย่อมหมายถึงการหมิ่นประมาทใส่ความหรือลบประมาทดูถูกเหยียดหยามต่อเจ้าพนักงานให้ได้รับความอับอายเสียหาย การที่จำเลยกล่าวต่อนายเชิญ โกศินผู้พิพากษาว่า “อ้ายผู้พิพากษานี่ ปรับกูหมิ่นห้าพันได้ กูจะต้องเตะมึง” นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยามพาดพิงถึงตำแหน่งราชการ ทำให้นายเชิญ โกศิน ได้รับความอับอายเสียหาย หาใช่เป็นเพียงวาจากักขฬะสามหาวเท่านั้นไม่ ทั้งนี้เนื่องจากการกระทำของนายเชิญ โกศิน ในฐานะเป็นผู้พิพากษาได้สั่งปรับจำเลยฐานผิดสัญญาประกันต่อศาล ฉนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นผิดฐานหมิ่นประมาทต่อเจ้าพนักงานเพราะเหตุได้กระทำตามหน้าที่ตาม ม.๑๑๖ ก.ม.อาญา
จำเลยฎีกาขอลดโทษ โดยยกโทษจำคุกหรือรอการลงอาญานั้น เป็นฎีกาข้อเท็จจริงเพราะเกี่ยวกับดุลยพินิจต้องห้าม
จึงพิพากษายืน