คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7574/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย กระสุนปืนถูกที่อกแถบซ้ายด้านข้างระดับนมทะลุกะบังลม ม้าม กระเพาะอาหาร ไขสันหลัง และฝังอยู่ที่ไขสันหลัง แพทย์ผ่าตัดเอากระสุนปืนออกไม่ได้ ทำให้ขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 84 วัน บาดแผลในช่องท้องหายจึงออกจากโรงพยาบาลไปรักษาตัวที่บ้าน เพราะมีบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพก เนื่องจากผู้ตายนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจึงทำให้เกิดบาดแผล ต่อมาผู้ตายถึงแก่ความตายหลังออกจากโรงพยาบาลประมาณ 2 เดือน ด้วยสาเหตุระบบหายใจและการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ดังนี้ แม้คำเบิกความของพยานโจทก์ผู้ทำการรักษาผู้ตายจะมิได้ยืนยันว่าสาเหตุการตายเกิดจากการที่ผู้ตายเป็นอัมพาตแต่การที่ผู้ตายต้องนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานเพราะเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้เนื่องจากขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาตจนทำให้เกิดบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพกย่อมแสดงให้เห็นว่าสุขภาพของผู้ตายภายหลังจากรักษาบาดแผลในช่องท้องหายแล้วอยู่ในสภาพแย่มาก อาการพิการร้ายแรงเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของร่างกายส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบหายใจและการไหลเวียนโลหิตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ถือได้ว่าความตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,371, 91, 33 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ,72, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 371 ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 20 ปี ฐานพาอาวุธติดตัวไปในหมู่บ้านปรับ 100 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ริบของกลางทั้งหมด ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 จำคุก 12 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2534 จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า หลังจากที่ผู้ตายถูกยิงแล้ว ได้มีการนำตัวผู้ตายไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราชผู้ตายถูกกระสุนปืนที่อกแถบซ้ายด้านข้างระดับราวนมฉีกขาดขนาด 1 x 1 เซนติเมตรกระสุนปืนทะลุกะบังลม ม้าม กระเพาะอาหาร ไขสันหลัง กระสุนปืนฝังอยู่ที่ไขสันหลังแพทย์ผ่าตัดเอากระสุนปืนออกไม่ได้ ทำให้ขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 84 วัน บาดแผลในช่องท้องหายจึงออกจากโรงพยาบาลไปรักษาตัวที่บ้าน เพราะมีบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพก เนื่องจากผู้ตายนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจึงทำให้เกิดบาดแผลผู้ตายถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2535 หลังออกจากโรงพยาบาลประมาณ2 เดือน ด้วยสาเหตุระบบหายใจและการไหลเวียนโลหิตล้มเหลวมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการที่ถูกจำเลยยิงหรือไม่ โจทก์มีนายแพทย์มนตรา พัฒนศรีแพทย์ประจำโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ผู้รักษาผู้ตายเบิกความว่าผู้ตายถูกกระสุนปืนที่อวัยวะสำคัญถ้ารักษาไม่ทันจะทำให้ตายได้จากการผ่าตัดพบกระสุนปืนฝังอยู่ที่กระดูกไขสันหลังทำให้เป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต ขณะที่ผู้ตายออกจากโรงพยาบาลบาดแผลที่ช่องท้องหายแล้วแต่มีบาดแผลที่ด้านหลังและสะโพกเนื่องจากผู้ตายไม่ได้เคลื่อนไหวต้องนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน บาดแผลดังกล่าวนี้พยานเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ถ้ารักษาถูกวิธีอาจรักษาให้หายได้และนางศรีวิมล โชคสุขผู้ช่วยหัวหน้าตึกศัลยกรรมหญิงโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราชผู้ดูแลผู้ตายก็เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาล ผู้ตายมีแผลเน่าเปื่อยบริเวณก้นเนื่องจากนั่งและนอนทับอยู่นาน แผลเน่าเปื่อยนี้อาจรักษาให้หายได้แต่อาการอัมพาตในลักษณะดังกล่าวไม่สามารถรักษาให้หายได้เห็นว่าแม้คำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวจะมิได้ยืนยันว่าเหตุที่ระบบหายใจและการไหลเวียนโลหิตของผู้ตายล้มเหลวจะเกิดจากการที่ผู้ตายเป็นอัมพาต แต่การที่ขาทั้งสองข้างของผู้ตายเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายต้องนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจนทำให้เกิดบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพกเช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าสุขภาพของผู้ตายภายหลังจากรักษาบาดแผลในช่องท้องหายแล้วอยู่ในสภาพแย่มาก เพราะขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ทำให้ผู้ตายไม่อาจดำรงชีวิตเหมือนคนปกติธรรมดาได้และอาการพิการร้ายแรงเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของร่างกายส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบหายใจและการไหลเวียนโลหิตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อีกทั้งผู้ตายก็ถึงแก่ความตายหลังจากถูกยิงประมาณ 4 เดือนเศษ อันเป็นช่วงระยะเวลาที่ผู้ตายต้องรักษาตัวสืบเนื่องกันตลอดมานับแต่ถูกยิงกรณีเช่นนี้ถือได้ว่าความตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการตายของผู้ตายมิใช่เป็นผลโดยตรงมาจากการกระทำของจำเลยและพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดเพียงฐานพยายามฆ่าผู้ตายนั้น ศาลฎีกา ไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share