แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การขายทอดตลาดครั้งแรกไม่มีผู้สนใจเข้าประมูลราคา เจ้าพนักงานบังคับคดีได้งดการขายและประกาศขายทอดตลาดใหม่เป็นวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2544 ดังนั้น เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองคดีนี้ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 จึงเป็นการยื่นคำร้องขอก่อนเอาทรัพย์จำนองนั้นออกขายทอดตลาดแล้ว ส่วนวันที่ 18 สิงหาคม 2543 เป็นวันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศให้มีการขายทอดตลาดครั้งแรกเท่านั้น โดยไม่มีการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวจริง จะถือว่าผู้ร้องยื่นคำร้องเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 วรรคสอง หาได้ไม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อคืนโจทก์ หากไม่ส่งมอบรถคืนให้ร่วมกันชดใช้ราคา ค่าขาดประโยชน์พร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดเชียงใหม่ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 74785 ตำบลวัดเกษ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 เพื่อนำออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า จำเลยที่ 2 กู้เงินผู้ร้อง สาขาช้างคลาน และนำที่ดินโฉนดเลขที่ 74785 ตำบลวัดเกษ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ไว้กับผู้ร้อง และจำเลยที่ 2 ยังทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดกับผู้ร้อง สาขาข่วงสิงห์ โดยเปิดบัญชีกระแสรายวัน สั่งจ่ายเช็คเบิกเงินจากบัญชีและนำเงินฝากเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้ แต่จำเลยที่ 2 ออกเช็คสั่งจ่ายเงินจากบัญชีกระแสรายวันหลายครั้งแล้วไม่ชำระหนี้ ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เป็นหนี้ผู้ร้องทั้งสองสาขาเป็นเงินรวม 1,214,371.86 บาท ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิจำเลยมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่น ขอให้ขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 74785 ตำบลวัดเกษ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 โดยปลอดจำนองและให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองจากที่ดินโฉนดเลขที่ 74785 ตำบลวัดเกษ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างในวงเงิน 600,000 บาท ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นในฐานะเจ้าหนี้จำนอง โดยให้ขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวโดยวิธีปลอดจำนอง หากโจทก์ไม่ดำเนินการบังคับคดีภายในกำหนด ให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิบัตรบังคับคดีต่อไปได้
ผู้ร้องอุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 บริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนที่ผู้ร้อง ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขอของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องเป็นผู้รับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 74785 ตำบลวัดเกษ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ที่จำเลยที่ 2 กู้เงินจากผู้ร้องในวงเงินจำนอง 600,000 บาท โดยตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ดังกล่าวเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาผู้ร้องประการแรกว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ เห็นว่า กรณีของผู้ร้องเป็นการยื่นคำร้องขอเพื่อใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ซึ่งวรรคสองได้กำหนดระยะเวลาไว้ให้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอได้ก่อนเอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาด แม้ข้อเท็จจริงปรากฏตามประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดเชียงใหม่ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2543 ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจะขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ในวันที่ 18 สิงหาคม 2543 แต่ได้ความตามคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองและฎีกาของผู้ร้องโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งว่าในวันที่ 18 สิงหาคม 2543 ที่กำหนดให้มีการขายทอดตลาดครั้งแรกไม่มีผู้สนใจเข้าประมูลราคาเจ้าพนักงานบังคับคดีได้งดการขายและประกาศขายทอดตลาดใหม่เป็นวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2544 ดังนั้น เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองคดีนี้ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 จึงเป็นการยื่นคำร้องขอก่อนเอาทรัพย์จำนองนั้นออกขายทอดตลาดตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ส่วนวันที่ 18 สิงหาคม 2543 เป็นเพียงวันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศให้มีการขายทอดตลาดครั้งแรกเท่านั้น โดยไม่มีการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวจริง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่าผู้ร้องยื่นคำร้องขอเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษากลับว่า ให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้จำนองจากการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 74785 ตำบลวัดเกษ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยปลอดจำนองก่อนโจทก์จำนวน 593,842.69 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี ของต้นเงิน 589,699.20 บาท นับแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2538 จนถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544