คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7563/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนที่โจทก์ตกลงว่าจ้างจำเลยชุบทองคำขาวเครื่องประดับได้มีการตกลงกันถึงกรรมวิธีในการชุบทองคำขาวด้วย การที่จำเลยทำผิดขั้นตอนที่ตกลงกันหรือผิดปกติประเพณีการชุบทองคำขาว จำเลยจึงตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตกลงว่าจ้างจำเลยให้ชุบทองคำขาวเครื่องประดับจำนวน13,285 ชิ้น แล้วโจทก์ได้ส่งสินค้าทั้งหมดไปจำหน่ายในประเทศฝรั่งเศส ต่อมาปรากฏว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญา ไม่ได้ชุบทองคำขาวให้เป็นไปตามขั้นตอนที่ตกลงกัน บริษัทที่จำหน่ายสินค้าในประเทศฝรั่งเศสได้ส่งสินค้าคืนมาให้โจทก์จำนวน 9,844 ชิ้นโจทก์จึงได้ส่งสินค้าตามจำนวนดังกล่าวให้จำเลยจัดการแก้ไขให้ถูกต้องและบรรเทาความเสียหาย แต่จำเลยก็มิได้จัดการแก้ไขให้ถูกต้องตามสัญญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายสำหรับสินค้าที่ส่งกลับคืนมาทั้งหมด จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ทำผิดสัญญาจ้าง จำเลยไม่เคยตกลงยินยอมซ่อมแซมสินค้าให้แก่โจทก์ สินค้าที่โจทก์ส่งไปให้จำเลยเพื่อให้ช่วยคิดหาวิธีแก้ไขนั้น มีสินค้าที่โจทก์ว่าจ้างบุคคลอื่นทำปะปนมาด้วยจำนวนหลายพันชิ้น โดยจำเลยไม่ได้ให้การว่าสินค้าเครื่องประดับดังกล่าวจำเลยรับจ้างชุบทองคำขาวกี่ชิ้นบุคคลอื่นรับจ้างชุบทองคำขาวให้แก่โจทก์กี่ชิ้น เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง คดีจึงไม่มีประเด็นว่าเครื่องประดับจำนวน 9,844 ชิ้น ที่ส่งคืนจากต่างประเทศและโจทก์ส่งให้แก่จำเลยทำให้ใหม่นั้น เป็นเครื่องประดับที่จำเลยรับจ้างทำจากโจทก์ทั้งหมดหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้แล้ว ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกประเด็นดังกล่าวนี้เสียจึงชอบแล้ว
ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ เป็นการฟ้องเรียกเงินที่เป็นราคาทรัพย์สินซึ่งเป็นเครื่องประดับจำนวน 640,568.73 บาท และค่าเสียหายที่เป็นกำไรจำนวน288,255.93 บาท ที่ฟ้องเรียกเงินที่เป็นราคาทรัพย์สินนั้น เนื่องจากจำเลยรับเอาสินค้าไปแก้ไขซ่อมแซมแล้วไม่ส่งกลับคืน จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่เคยตกลงยินยอมจะซ่อมแซมสินค้าให้แก่โจทก์ที่โจทก์ส่งสินค้ามาให้ซ่อมแซม จำเลยไม่เคยปฏิเสธที่จะคืนให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย คดีจึงมีประเด็นว่า โจทก์จะฟ้องเรียกเอาราคาทรัพย์สินได้หรือไม่ด้วย แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้จึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และมาตรา 183 เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดประเด็นเพิ่มขึ้นและวินิจฉัยให้เสร็จไป โดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
เมื่อกรณีเป็นเรื่องที่จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้ได้แต่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การที่จำเลยตกเป็นฝ่ายผิดสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215 แต่เมื่อไม่ปรากฏว่า ทรัพย์สินที่จำเลยรับไปซ่อมแซมนั้น จำเลยไม่ยอมคืนหรือได้สูญหายหรือบุบสลายไปทั้งหมด โจทก์จึงไม่อาจเรียกเอาราคาทรัพย์สินทั้งหมดเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่งได้
คำฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยไม่ยอมคืนเครื่องประดับให้แก่โจทก์ แต่ทางนำสืบของโจทก์กลับได้ความว่า จำเลยจะต้องซ่อมแซมเครื่องประดับให้เสร็จและส่งมอบให้โจทก์ภายในกำหนด ต่อจากนั้นโจทก์ก็จะนำเครื่องประดับทั้งหมดส่งมอบแก่ลูกค้าของโจทก์ได้ จำเลยซ่อมแซมเครื่องประดับไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดไว้และส่งคืนมาในภายหลัง โจทก์จึงไม่อาจส่งคืนให้แก่ลูกค้าได้ เพราะเครื่องประดับล้าสมัย ไม่มีประโยชน์แก่โจทก์ เครื่องประดับไม่มีราคาและขายไม่ได้ โจทก์จึงให้จำเลยรับผิดชอบราคาเครื่องประดับทั้งหมดนั้น กรณีเช่นว่านี้ หาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยไม่คืนเครื่องประดับดังที่โจทก์ฟ้องไม่ โจทก์จึงไม่อาจเอาราคาเครื่องประดับแทนตัวทรัพย์สินได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำเครื่องประดับซึ่งทำด้วยเงินว่าจ้างจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2และที่ 3 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 และในฐานะส่วนตัว ให้ชุบทองคำขาวเพื่อโจทก์จะนำไปจำหน่ายที่ประเทศฝรั่งเศสจำเลยทั้งสามตกลง โจทก์ชำระค่าจ้างให้จำเลยทั้งสามถูกต้องและรับเครื่องประดับที่จ้างชุบเรียบร้อยแล้ว และส่งไปจำหน่ายแก่บริษัทผู้ซื้อที่ประเทศฝรั่งเศสในราคาเครื่องประดับเนื้อเงินตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2533 ต่อมาบริษัทผู้ซื้อในต่างประเทศพบความชำรุดบกพร่องเมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2533 ว่าเครื่องประดับที่โจทก์คิดในราคาสินค้าประเภทเงินนั้น เมื่อนำไปใช้ปรากฏว่าทองคำขาวที่ชุบนั้นลอกออกมาเป็นเนื้อทองแดง ทำให้บริษัทผู้ซื้อในต่างประเทศเข้าใจว่าสินค้าที่โจทก์ขายเป็นเนื้อทองแดงซึ่งมีราคาถูกกว่าเนื้องเงินอันเป็นการผิดข้อตกลง และแจ้งให้โจทก์ทราบถึงความบกพร่องดังกล่าวและส่งสินค้าคืนโจทก์จำนวน 9,844 ชิ้น ความบกพร่องนั้นเกิดจากการที่จำเลยทั้งสามชุบทองคำขาวซึ่งโจทก์ไม่พบขณะรับมอบสินค้า จำเลยทั้งสามนำสินค้าของโจทก์ไปชุบทองแดงก่อนแล้วจึงชุบทองคำขาวเป็นการปฏิบัติผิดสัญญาและผิดประเพณีในการชุบทองคำขาว เมื่อโจทก์ได้รับสินค้าคืนจากต่างประเทศในเดือนตุลาคม 2533 โจทก์นำสินค้าที่ได้รับคืนส่งให้จำเลยทั้งสามซ่อมลอกทองแดงออกให้เหลือเงินล้วนแล้วชุบทองคำขาวใหม่ตามที่ตกลงไว้เดิมให้แล้วเสร็จในกำหนดเวลาเดิม แต่บัดนี้ได้ล่วงเลยมาเป็นเวลานานแล้ว จำเลยทั้งสามไม่สามารถซ่อมสินค้าคืนแก่โจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสามในฐานะผู้รับจ้างที่ทำงานผิดสัญญาผิดประเพณีในการชุบทองคำขาว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย แต่จำเลยทั้งสามก็ไม่แก้ไขหรือบรรเทาความเสียหายให้โจทก์ตามสัญญา สินค้าของโจทก์จำนวน 9,844 ชิ้น ที่ถูกส่งคืนหากถูกต้องตามสัญญาแล้ว โจทก์จะขายได้ในราคา 928,824.66 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 928,824.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 740,568.73 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ยกฟ้องจำเลยที่ 2และที่ 3

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ว่า ความชำรุดบกพร่องในสินค้าที่โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ทำนั้น จำเลยที่ 1 ได้ทำตามคำสั่งของโจทก์หรือตามปกติประเพณีของการชุบสินค้าดังกล่าวหรือไม่ ศาลฎีกา เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องกันมีเหตุผล โดยเฉพาะนายสุรชัยและนายชาญณรงค์ไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดี น่าเชื่อว่า เบิกความถึงขั้นตอนหรือปกติประเพณีในการชุบทองคำขาวตามความเป็นจริง เชื่อได้ว่าก่อนที่โจทก์ตกลงว่าจ้างจำเลยที่ 1 ชุบทองคำขาวเครื่องประดับนั้นได้มีการตกลงกันถึงกรรมวิธีในการชุบทองคำขาวด้วย การที่จำเลยที่ 1ทำผิดขั้นตอนที่ตกลงกันหรือผิดปกติประเพณีการชุบทองคำขาว จำเลยที่ 1 จึงตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา

ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกประเด็นข้อ 4 ที่ว่าเครื่องประดับจำนวน 9,844 ชิ้น ที่ส่งคืนจากต่างประเทศ และโจทก์ส่งให้แก่จำเลยที่ 1ทำให้ใหม่นั้น เป็นเครื่องประดับที่จำเลยที่ 1 รับจ้างทำจากโจทก์ทั้งหมดหรือไม่คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ชอบนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ตกลงว่าจ้างจำเลยที่ 1ให้ชุบทองคำขาวเครื่องประดับจำนวน 13,285 ชิ้น แล้วโจทก์ได้ส่งสินค้าทั้งหมดไปจำหน่ายในประเทศฝรั่งเศส ต่อมาปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ปฏิบัติผิดสัญญา ไม่ได้ชุบทองคำขาวให้เป็นไปตามขั้นตอนที่ตกลงกัน บริษัทที่จำหน่ายสินค้าในประเทศฝรั่งเศสจึงได้ส่งสินค้าคืนมาให้โจทก์จำนวน 9,844 ชิ้น โจทก์จึงได้ส่งสินค้าตามจำนวนดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 จัดการแก้ไขให้ถูกต้องและบรรเทาความเสียหาย แต่จำเลยที่ 1 ก็มิได้จัดการแก้ไขให้ถูกต้องตามสัญญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย สำหรับสินค้าที่ส่งกลับคืนมาทั้งหมด จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำผิดสัญญาจ้าง จำเลยที่ 1 ไม่เคยตกลงยินยอมซ่อมแซมสินค้าให้แก่โจทก์ สินค้าที่โจทก์ส่งไปให้จำเลยที่ 1 เพื่อให้ช่วยคิดหาวิธีแก้ไขนั้น มีสินค้าที่โจทก์ว่าจ้างบุคคลอื่นทำปะปนมาด้วยจำนวนหลายพันชิ้น โดยไม่ได้ให้การว่า สินค้าเครื่องประดับดังกล่าวจำเลยที่ 1 รับจ้างชุบทองคำขาวกี่ชิ้นบุคคลอื่นรับจ้างชุบทองคำขาวให้แก่โจทก์กี่ชิ้น จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง คดีจึงไม่มีประเด็นว่าเครื่องประดับจำนวน 9,844 ชิ้น ที่ส่งคืนจากต่างประเทศและโจทก์ส่งให้แก่จำเลยที่ 1 ทำให้ใหม่นั้น เป็นเครื่องประดับที่จำเลยที่ 1 รับจ้างทำจากโจทก์ทั้งหมดหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกประเด็นดังกล่าวนี้เสียและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงชอบแล้ว

ปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า ค่าเสียหายมีหรือไม่ เพียงใด พิเคราะห์แล้วตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ เป็นการฟ้องเรียกเงินที่เป็นราคาทรัพย์สินซึ่งเป็นเครื่องประดับจำนวน 640,568.73 บาท และค่าเสียหายที่เป็นกำไรจำนวน288,255.93 บาท ที่ฟ้องเรียกเงินที่เป็นราคาทรัพย์สินนั้น เนื่องจากจำเลยที่ 1 รับเอาสินค้าไปแก้ไขซ่อมแซมแล้วไม่ส่งกลับคืน จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่เคยตกลงยินยอมจะซ่อมแซมสินค้าให้แก่โจทก์ ที่โจทก์ส่งสินค้ามาให้ซ่อมแซม จำเลยที่ 1 ไม่เคยปฏิเสธที่จะคืนให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย คดีจึงมีประเด็นว่า โจทก์จะฟ้องเรียกเอาราคาทรัพย์สินได้หรือไม่ด้วย ซึ่งศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นไว้ เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และมาตรา 183 เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดประเด็นเพิ่มขึ้นและวินิจฉัยให้เสร็จไป โดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ สำหรับประเด็นที่ว่าโจทก์จะฟ้องเรียกเอาราคาทรัพย์สินได้หรือไม่นี้ ศาลฎีกาเห็นว่ากรณีเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้ได้แต่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การที่จำเลยที่ 1 ตกเป็นฝ่ายผิดสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215 จำเลยที่ 1 ไม่ยอมคืนหรือได้สูญหายหรือบุบสลายไปทั้งหมด โจทก์จึงไม่อาจเรียกเอาราคาทรัพย์สินทั้งหมดเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่งได้ ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยที่ 1 ไม่ยอมคืนเครื่องประดับให้แก่โจทก์แต่ทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า จำเลยที่ 1 จะต้องซ่อมแซมเครื่องประดับให้เสร็จและส่งมอบให้โจทก์ภายในเดือนพฤศจิกายน 2533 ต่อจากนั้นโจทก์ก็จะนำเครื่องประดับทั้งหมดส่งมอบแก่ลูกค้าของโจทก์ได้ แต่จำเลยที่ 1 ซ่อมแซมเครื่องประดับไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดไว้ หากส่งคืนมาในภายหลัง โจทก์ก็ไม่อาจส่งคืนให้แก่ลูกค้าได้ เพราะเครื่องประดับล้าสมัย ไม่มีประโยชน์แก่โจทก์ เครื่องประดับไม่มีราคาและขายไม่ได้ จึงให้จำเลยที่ 1 รับผิดชอบราคาเครื่องประดับทั้งหมด หาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ไม่คืนเครื่องประดับไม่ โจทก์จึงไม่อาจเอาราคาเครื่องประดับแทนตัวทรัพย์สินได้

แต่อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงก็ได้ความว่า จำเลยที่ 1 ปฏิบัติผิดสัญญาทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่สามารถนำสินค้าไปจำหน่ายได้ ต้องทำการซ่อมแซมใหม่ทั้งหมดและเห็นว่าที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้จำนวน 100,000 บาท นับว่าเป็นจำนวนพอสมควร

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นเงินจำนวน543,334.37 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share