คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 756/2513

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ชายหญิงแต่งงานกันโดยไม่นำพาต่อการที่จะไปจดทะเบียนสมรสครั้นอยู่กินด้วยกันถึง 9 เดือนแล้วเกิดทะเลาะกัน ชายจึงไปแจ้งอำเภอให้เรียกหญิงไปและขอจดทะเบียนสมรส แต่หญิงก็ไม่ยอมจด เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างไม่นำพาต่อการไปจดทะเบียนสมรสมาแต่เดิมเช่นนี้ชายจึงไม่อาจอ้างได้ว่าฝ่ายหญิงผิดสัญญา จึงไม่อาจเรียกสินสอดทองหมั้นคืนจากฝ่ายหญิง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อข้างแรมเดือน 3 พ.ศ. 2509 โจทก์จัดเถ้าแก่ไปสู่ขอนางสาวคำปัง อโนมา จำเลยที่ 2 ซึ่งมีอายุ 19 ปี และเป็นบุตรจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองเรียกทองหมั้นหนัก 10 บาท ราคา 4,400 บาท และเงินสินสอด10,000 บาท ได้ทำพิธีแต่งงานกันเมื่อวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 4 พ.ศ. 2509 ฝ่ายโจทก์ได้จัดทองหมั้นและเงินสินสอดจำนวนดังกล่าวไปมอบให้จำเลยทั้งสองแล้ว และจำเลยทั้งสองรับว่าจะให้ความยินยอมและจดทะเบียนสมรสกันต่อเจ้าพนักงานให้ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อแต่งงานแล้วโจทก์อยู่กินหลับนอนกับจำเลยที่ 2 ที่บ้านจำเลยที่ 1 ระหว่างอยู่กินโจทก์ได้เตือนนางสาวคำปังให้ไปจดทะเบียนสมรสและให้จำเลยที่ 1 ไปให้ความยินยอมแต่คนทั้งสองก็ผัดผ่อนเรื่อยมา ระหว่างอยู่กินโจทก์กับจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันทำนาโดยเช่ามาราว 30 ไร่ขณะนี้ใกล้จะเก็บเกี่ยวได้แล้วจะได้ข้าวเปลือกราว 10 เกวียน ราคาเกวียนละ 1,000 บาท และได้ช่วยกันทำนาอีก 1 แปลงกะว่าจะได้ข้าวราว 15 เกวียน รวมข้าวจะได้ 25 เกวียน เป็นเงิน 25,000 บาทเมื่อเดือน 11 ปี 2509 โจทก์เตือนจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ให้ไปจดทะเบียนและให้ความยินยอม แต่จำเลยทั้งสองบิดพลิ้วไม่ยอมไป กลับพาลไล่โจทก์ ๆ ไปร้องต่ออำเภอตะพานหินซึ่งได้เรียกจำเลยทั้งสองไป แต่ไม่เป็นที่ตกลงกันจึงฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ 1 คืนทองคำหนัก 10 บาท ราคา 4,400 บาทกับเงินสินสอด 10,000 บาทให้โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 แบ่งผลข้าวเปลือกที่ทำไว้ 2 แปลงให้โจทก์กึ่งหนึ่งคิดเป็นข้าวเปลือก 12 เกวียน 50 ถัง ถ้าไม่สามารถแบ่งได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 12,500 บาท กับขอให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมกับค่าทนายแทนโจทก์ด้วย

ศาลชั้นต้นเห็นว่า แม้โจทก์จะบรรยายในคำฟ้องว่านางหรั่ง อโนมาเป็นจำเลยที่ 1 และนางสาวคำปังเป็นจำเลยที่ 2 แต่งเป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องนางหรั่ง อโนมาผู้เดียวในส่วนตัวและในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของนางสาวคำปัง อโนมา จึงส่งหมายเรียกให้นางหรั่ง อโนมาจำเลยแก้คดีคนเดียว

นางหรั่ง อโนมาจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์แต่งงานกับนางสาวคำปัง และจำเลยได้เรียกทองหมั้นและเงินสินสอดตามฟ้องจริงและทำพิธีแต่งงานเมื่อขึ้น 6 ค่ำ เดือน 4 พ.ศ. 2509 จริง ในวันแต่งงานโจทก์จำเลยตกลงกันใช้เงินสินสอด 10,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายจำเลยใช้จ่ายไปราว 6,100 บาทที่เหลือก็มอบให้นางสาวคำปังระหว่างอยู่กินกันโจทก์เอาเงินจากนางสาวคำปังไปใช้หลายครั้งประมาณ 4,000 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืน เมื่อโจทก์อยู่กินหลับนอนกับนางสาวคำปังมา 9 เดือนแล้วของหมั้นย่อมตกเป็นสิทธิแก่นางสาวคำปังโดยชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจเรียกคืน โจทก์ไม่เคยช่วยทำนา นานั้นพี่ของนางสาวคำปังเป็นผู้เช่า โจทก์และนางสาวคำปังไม่ได้เกี่ยวข้อง โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่งข้าว ตั้งแต่แต่งงาน โจทก์ไม่เคยพูดเรื่องจะพานางสาวคำปังไปจดทะเบียนสมรสและจะให้จำเลยไปให้ความยินยอม จำเลยเป็นคนโง่เขลาไม่ทราบว่าจะต้องไปจดทะเบียนสมรสโจทก์เพิ่งพูดเรื่องจดทะเบียนสมรสที่ที่ว่าการอำเภอหลังจากทะเลาะกันแล้วนางสาวคำปังเสียตัวอยู่กินกับโจทก์ 9 เดือน ได้รับความเสียหายอันเกิดแก่กายและชื่อเสียงจำเลยขอเรียกค่าเสียหายอันเกิดแก่กายและชื่อเสียงของจำเลยและนางสาวคำปังจากโจทก์ 10,000 บาทกับขอให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นางสาวคำปังไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด จำเลยไม่มีอำนาจเรียกค่าเสียหาย เพราะจำเลยกระทำผิดสัญญาสมรส

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ตามรูปคดีน่าเชื่อว่าทั้งโจทก์และนางสาวคำปังได้แต่งงานอยู่กินกันโดยไม่นำพาต่อการจดทะเบียนสมรสมาแต่แรก จำเลยและนางสาวคำปังมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาสมรส โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกสินสอดทองหมั้นคืน สำหรับเรื่องขอแบ่งข้าวนั้น ฟังว่าการทำนา 2 แปลง ได้ข้าว 21 เกวียน โจทก์ทำร่วมกับนายสวรรค์กับนางคำปังทุนอื่น ๆ จำเลยออกถือว่าเป็นหุ้นส่วนกัน โจทก์ควรได้ส่วนแบ่ง 1 ใน 4 พิพากษาให้จำเลยแบ่งข้าวเปลือก 5 เกวียน 25 ถังให้โจทก์ หรือมิฉะนั้นให้ใช้เงิน 5,250 บาทให้โจทก์ กับให้จำเลยเสียค่าฤชาธรรมเนียมเท่าที่โจทก์ชนะคดีกับค่าทนายความ 200 บาทแทนโจทก์ คำขออื่น ๆ ของโจทก์ และฟ้องแย้งจำเลยให้ยกเสีย

โจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฝ่ายเดียวฎีกาเฉพาะ 2 ประเด็น คือ การที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสเป็นความผิดของจำเลย กับโจทก์มีสิทธิเรียกสินสอดทองหมั้นคืนจากจำเลยได้

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาคดีแล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าการที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสเป็นความผิดของจำเลยนั้น โจทก์นำสืบว่าได้ทำพิธีแต่งงานกับนางสาวคำปังเมื่อขึ้น 6 ค่ำ เดือน 4 พ.ศ. 2509 นายเอื้อกับนางเจิมมารดาโจทก์ซึ่งเป็นคนไปสู่ขอ ได้พูดในวันหมั้นว่าเมื่อทำพิธีแต่งงานแล้วให้ไปจดทะเบียนสมรสกันให้ถูกต้องจำเลยกับนางสาวคำปังก็รับคำ แต่งงานแล้ว 10 วัน โจทก์เตือนจำเลยกับนางสาวคำปังขอผัด 9-10 วัน เดือน 6 ต่อมาโจทก์เตือนอีก ก็ถูกผัดว่าออกไร่ออกนาเสียก่อนจึงจะไปจดทะเบียน ต่อมาเดือน 9 โจทก์เตือนให้ไปจดทะเบียน ทั้งสองก็ไม่ยอมไป นางสาวคำปังกลับพาลไล่โจทก์ ๆ ขอให้นายเอื้อช่วยพูดก็ไม่ยอม โจทก์ไปร้องต่ออำเภอ อำเภอเรียกไปเปรียบเทียบ และขอให้นางสาวคำปังจดทะเบียนสมรส นางสาวคำปังก็ไม่ยินยอม

ฝ่ายจำเลยนำสืบว่า เงินสินสอด 10,000 บาทนั้น ได้ตกลงกันให้เป็นค่าใช้จ่ายในระหว่างแต่งงาน ซึ่งได้ใช้จ่ายไปราว 6,000 บาทตอนแต่งงานได้มีการผูกข้อมือกันเสร็จก่อน 11.00 นาฬิกา แต่ไม่มีใครพูดถึงการจดทะเบียนสมรสตอนส่งตัวกันราว 20.00 นาฬิกา คืนแต่งงานก็ไม่มีใครพูดถึงการจดทะเบียนสมรสแต่งงานแล้วโจทก์ก็อยู่กินที่บ้านจำเลย ตลอดเวลาที่นางสาวคำปังแต่งงานกับโจทก์ไม่มีใครพูดกันถึงเรื่องจดทะเบียนสมรสเลย อยู่กัน 9 เดือนก็เกิดทะเลาะกันเพราะโจทก์จะขอเงิน 5,000 บาทจากนางสาวคำปังไปใช้หนี้ นางสาวคำปังไม่ให้ ทะเลาะกัน 2-3 ครั้ง ก็ไปอำเภอปลัดอำเภอเปรียบเทียบจะให้นางสาวคำปังจดทะเบียนสมรส แต่นางสาวคำปังไม่ยอม

ศาลฎีกาได้พิเคราะห์โดยตลอดแล้ว ที่โจทก์อ้างว่าวันแต่งงานนางเจิมมารดาโจทก์และนายเอื้อได้พูดว่าให้ไปจดทะเบียนสมรสกันและว่านางสาวคำปังและจำเลยรับคำนั้น ปรากฏว่าพยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันไม่น่าเชื่อว่าจะมีการพูดเช่นนั้น คือโจทก์ว่าตอนที่พูดเรื่องให้ไปจดทะเบียนสมรสนั้น ได้พูดกันในห้องพิธี นอกจากโจทก์ นางเจิม นายเอื้อแล้ว คงมีแต่จำเลยและนางสาวคำปังเท่านั้นไม่มีญาติพี่น้องของนางสาวคำปังเข้าไปฟัง แต่นางเจิมกลับว่ายังมีป้าของนางสาวคำปังอีกด้วย ส่วนนายเอื้อว่า ยังมีนายเปิ้นอีกและยังมีคนอื่นแต่จำไม่ได้ว่าเป็นใคร นอกจากนี้นายเปิ้นยังเบิกความว่าตนเองก็อยู่ด้วยในขณะนั้น และว่าได้พูดเรื่องนี้กันท่ามกลางแขกเหรื่อที่ไปรู้เห็นตอนผูกข้อมือ ซึ่งมีคนอื่น ๆ แต่จำไม่ได้ว่าเป็นใครบ้าง ยิ่งกว่านั้นนางเจิมมารดาโจทก์มีบุตรชายหญิงถึง 9 คน ซึ่งมีครอบครัวไปหมดแล้วยังเหลือน้องโจทก์อยู่คนเดียวเท่านั้น พวกที่มีครอบครัวไปนั้นก็ไม่เคยมีใครจดทะเบียนสมรสสักคนเดียว นางหรั่งจำเลยมีลูก 4 คน มีครอบครัวหมดแล้วแต่ก็ไม่ได้จดทะเบียนสมรสเลยเหมือนกันน่าเชื่อว่าคงจะไม่มีใครคิดถึงเรื่องการจดทะเบียนสมรสเลย ศาลฎีกาเชื่อว่าโจทก์และนางสาวคำปังแต่งงานกันโดยไม่นำพาต่อการที่จะไปจดทะเบียนสมรสและไม่เชื่อว่าโจทก์จะได้เตือนนางสาวคำปังกับจำเลยให้ไปจดทะเบียนสมรสหลังการแต่งงานเล็กน้อย เพราะถ้าโจทก์ประสงค์เช่นนั้นจริงก็น่าจะได้ไปแจ้งต่ออำเภอเสียก่อนแล้ว ไม่ใช่ปล่อยให้เนิ่นนานจนอยู่ด้วยกันถึง 9 เดือนจึงไปแจ้งต่อำเภอซึ่งก็เกิดขึ้นเพราะทะเลาะกันก่อนเช่นนี้ การที่โจทก์ไปแจ้งอำเภอเพื่อให้เรียกฝ่ายหญิงไปและขอจดทะเบียนเมื่อระหว่างเกิดผิดใจกันเช่นนี้น่าจะเป็นวิธีการที่จะกล่าวหาว่าหญิงไม่ยอมจดทะเบียนนั่นเอง เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างไม่นำพาต่อการไปจดทะเบียนสมรสเช่นนี้ โจทก์จึงไม่อาจอ้างได้ว่าฝ่ายหญิงผิดสัญญา และไม่อาจเรียกสินสอดทองหมั้นคืนจากจำเลยได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1025/2501 ระหว่างนายสำรวล พิศวงษ์ โจทก์ นางสาวกิมจัว วงศาภิรมย์กับพวก จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาของโจทก์เสีย ค่าทนายความชั้นฎีกาเห็นสมควรให้เป็นพับ

Share