คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7551/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายกัญชาเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยฎีกาเฉพาะข้อหาจำหน่ายกัญชา ข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตมิใช่เป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และไม่ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อหานี้ ซึ่งไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย เมื่อศาลฎีกาฟังว่า พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยมีกัญชาแห้ง จำนวน 4 ถุง และเมล็ดกัญชาแห้ง จำนวน 1 ถุง ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายโดยการขายกัญชาแห้งนั้นให้แก่ ป. จำนวน 1 ถุง และ พ. จำนวน 2 ถุง และมีอาวุธปืนยาวบรรจุปาก (ปืนแก๊ป) และปืนยาวอัดลม ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของนายทะเบียนประทับไว้ และเครื่องกระสุนปืนบรรจุปาก (ดินดำ แก๊ปกระดาษ เม็ดตะกั่ว ใยมะพร้าว) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แม้ข้อหาความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกาก็ตาม แต่เนื่องจากเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน และเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำผิด จึงให้ยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยไป ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215, 225 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 19/2561)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 26, 76, 76/1, 100/1, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 91 ริบกัญชาและอาวุธปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76/1 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 2 ปี ฐานจำหน่ายกัญชา 2 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี และฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 7 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี 8 เดือน ริบกัญชาที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์และอาวุธปืนของกลาง
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาเฉพาะความผิดฐานจำหน่ายกัญชา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยโจทก์และจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านรับฟังได้เบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2557 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา นายชาติชายและนายทินวุฒิ ปลัดป้องกันอำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี กับพวก ตั้งด่านตรวจบริเวณสี่แยกบ้านหนองผักแผว ถนนบ้านไร่ – ลานสัก หมู่ที่ 5 ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี ในระหว่างนั้นนายพรศักดิ์ ขับรถจักรยานยนต์มีนายเป้า นั่งซ้อนท้ายแล่นผ่านมา นายชาติชายเห็นนายพรศักดิ์ทิ้งสิ่งของลงข้างทาง เมื่อนายชาติชายเรียกให้หยุดรถและขอตรวจค้นปรากฏว่าพบกัญชาแห้งจำนวน 1 ห่อ ซุกซ่อนอยู่ที่กางเกงชั้นในของนายเป้า และไปตรวจสอบบริเวณที่นายพรศักดิ์ทิ้งสิ่งของพบกัญชาแห้ง จำนวน 2 ห่อ บรรจุในถุงพลาสติกสีขาว จากนั้นมีการขยายผลประสานงานกับเจ้าพนักงานตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ให้นายพรศักดิ์และนายเป้าพาไปตรวจค้นบ้านของจำเลยในเวลาประมาณ 18 นาฬิกา พบจำเลยและบุตรสาวของจำเลย ผลการตรวจค้นภายในบ้านไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย แต่พบธนบัตรอยู่ภายในตู้เสื้อผ้าจำนวน 40,000 บาท และจากการตรวจค้นตัวจำเลยพบธนบัตร 65,240 บาท ทั้งบริเวณหลังบ้านของจำเลยห่างประมาณ 50 เมตร ซึ่งมีสภาพเป็นชายป่ามันสำปะหลังพบกัญชาแห้งจำนวน 1 ถุง เมล็ดกัญชาจำนวน 1 ถุง และบ้องกัญชาจำนวน 1 บ้อง อยู่ในถุงพลาสติกจำนวน 2 ถุง มีสังกะสีปิดคลุมไว้ ห่างจากจุดที่พบกัญชาประมาณ 4 เมตร พบปืนอัดลมจำนวน 1 กระบอก ซุกซ่อนอยู่ที่ซอกต้นไม้ และห่างจากจุดที่พบปืนอัดลมประมาณ 2 เมตร พบอาวุธปืนแก๊ปจำนวน 1 กระบอก ซุกซ่อนอยู่ในพงหญ้า จึงยึดเป็นของกลางและควบคุมตัวจำเลย นายพรศักดิ์และนายเป้า พร้อมด้วยของกลาง ส่งมอบร้อยตำรวจเอกชัยวัฒน์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรห้วยคตดำเนินคดี สำหรับข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายกัญชาเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยฎีกาเฉพาะข้อหาจำหน่ายกัญชา ข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตมิใช่เป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และไม่ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแต่ประการใด แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อหานี้ ซึ่งไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยจึงมีว่า จำเลยกระทำความผิดฐานจำหน่ายกัญชา และฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานตามทางนำสืบยังไม่มีน้ำหนักมั่นคงแก่การรับฟังข้อเท็จจริงให้เป็นยุติเชื่อได้ว่า ในวันเกิดเหตุ จำเลยมีกัญชาแห้ง อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 จำนวน 4 ถุง และเมล็ดกัญชาแห้งจำนวน 1 ถุง น้ำหนักรวม 82.43 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายโดยการขายกัญชาแห้งนั้นให้แก่นายเป้า จำนวน 1 ถุง น้ำหนัก 5.36 กรัม ในราคา 100 บาท และนายพรศักดิ์ จำนวน 2 ถุง น้ำหนัก 16.32 กรัม ในราคา 200 บาท ในวันเดียวกัน จำเลยมีอาวุธปืนยาวบรรจุปาก (ปืนแก๊ป) ความกว้างปากลำกล้องประมาณ 12 มิลลิเมตร ความยาวลำกล้องประมาณ 104 เซนติเมตร 1 กระบอก และปืนยาวอัดลม ความกว้างปากลำกล้องประมาณ 8 มิลลิเมตร ความยาวลำกล้องประมาณ 104 เซนติเมตร 1 กระบอก ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของนายทะเบียนประทับไว้ และเครื่องกระสุนปืนบรรจุปาก (ดินดำ แก๊ปกระดาษ เม็ดตะกั่ว ใยมะพร้าว) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คดีมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า แม้ข้อหาความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่เนื่องจากเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน และเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำผิด จึงให้ยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215, 225 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น อย่างไรก็ตาม กัญชาของกลางเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 102 บัญญัติให้ริบเสียทั้งสิ้น และอาวุธปืนของกลาง เป็นทรัพย์ที่ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 บัญญัติให้ริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าเป็นของผู้กระทำความผิดและมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ จึงต้องริบกัญชาและอาวุธปืนของกลาง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ให้ริบกัญชาและอาวุธปืนของกลาง

Share