คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 755/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยตกลงสมรสกันโดยไม่มีการหมั้น แต่มีสินสอด คือ เงินและ สร้อยคอทองคำ เมื่อไม่มีการสมรสโดยมีพฤติกรรมที่ฝ่ายจำเลยต้องรับผิดชอบ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องคืนสินสอดแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระค่าสินสอดเป็นเงินคืนแก่โจทก์ทั้งสามจำนวน 35,000 บาท พร้อมด้วยสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน เป็นเงิน 5,300 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ว่าเงินและสร้อยคอทองคำไม่ใช่สินสอดขอให้ยกฟ้อง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์มีเพียง 40,300 บาท ไม่เกิน 50,000 บาท ทั้งมิใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัว คดีจึงต้องห้ามมิให้ คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามเป็นการไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 242(1) และถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีสิทธิฎีกา เพราะเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง แม้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงก็ตาม ศาลฎีกาก็ไม่อาจพิจารณาฎีกาโจทก์ทั้งสามได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นบิดามารดาจำเลยที่ ๓ คืนสินสอด แก่ฝ่ายโจทก์พร้อมดอกเบี้ยกับให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าใช้จ่ายในการจัดงานสมรส และให้จำเลยที่ ๓ คืนของหมั้นแก่โจทก์ ถ้าจำเลยที่ ๓ คืนให้ไม่ได้ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันชำระแทน
จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันชำระเงินสินสอดแก่โจทก์ทั้งสาม ๓๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันคืนสร้อยคอทองคำหนัก ๑ บาท แก่โจทก์ทั้งสาม ถ้าคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน ๕,๓๐๐ บาท กับให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสามโดยกำหนดค่าทนายความ ๑,๕๐๐ บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนใน ทุนทรัพย์เท่าที่โจทก์ทั้งสามชนะคดี คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เสียด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสามฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาใน ข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยตกลงสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายโดยไม่มีการหมั้น และเงินจำนวน ๓๕,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยสร้อยคอทองคำหนัก ๑ บาท เป็นสินสอด ที่ฝ่ายโจทก์มอบให้ไว้แก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เมื่อไม่มีการสมรสโดยมีพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายจำเลยต้องรับผิดชอบ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงต้องคืนสินสอดดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสามแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันชำระค่าสินสอดเป็นเงินคืนแก่โจทก์ทั้งสามจำนวน ๓๕,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยสร้อยคอทองคำหนัก ๑ บาท หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน เป็นเงิน ๕,๓๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสาม ดังนั้น ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์จึงมีเพียง ๔๐,๓๐๐ บาท ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ทั้งมิใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัว คดีต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์ว่าเงินจำนวน ๓๕,๐๐๐ บาท และสร้อยคอทองคำหนัก ๑ บาท เป็นเพียง เงินค่าตอบแทนที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ยินยอมให้จำเลยที่ ๓ ไปอยู่กินฉันสามีภรรยากับโจทก์ที่ ๓ มิใช่เป็นเงินค่าสินสอด เนื่องจากทั้งสองฝ่ายมิได้ประสงค์จะทำการสมรสโดยจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายกันแต่อย่างใด โจทก์ทั้งสาม จึงไม่อาจเรียกคืนได้ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้เป็นการไม่ชอบ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๔๒ (๑) และถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ฎีกาของโจทก์ทั้งสามจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีสิทธิฎีกา แม้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงก็ตาม ศาลฎีกาก็ไม่อาจพิจารณาฎีกาโจทก์ทั้งสามได้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ และให้ยกฎีกาโจทก์ทั้งสามคงให้บังคับไปตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้น คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์แก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่โจทก์ทั้งสาม ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นชั้นฎีกานอกจากที่คืนให้เป็นพับ

Share