แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มีอาชีพออกแบบโครงการก่อสร้างย่อมต้องทราบระเบียบและข้อบังคับต่างๆ ของทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบเป็นอย่างดีจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่โจทก์จะไม่ส่งมอบแบบพิมพ์เขียวในอัตราส่วน 1 ต่อ 100 เพื่อใช้ก่อสร้างให้แก่จำเลย ดังนั้นเมื่อโจทก์ส่งมอบแบบพิมพ์เขียวดังกล่าวแล้ว จำเลยต้องชำระค่าบริการวิชาชีพงวดที่ 4 ส่วนที่เหลือให้แก่โจทก์ ส่วนการที่จำเลยไม่ได้ทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก็ดีหรือยังไม่ได้ขออนุญาตก่อสร้าง อันทำให้จำเลยไม่สามารถทำการก่อสร้างได้ก็ดีก็เป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยเอง หาอาจยกขึ้นอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดได้ไม่
ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าแห่งการงานอันเนื่องมาจากสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเลิกกันโดยปริยายตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคสาม ซึ่งไม่ได้กำหนดให้จำเลยรับผิดชำระค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการผิดสัญญา ดังนั้น การที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ทำงานในงวดที่ 2 ยังไม่แล้วเสร็จจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าบริการวิชาชีพในงวดที่ 2 โดยไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาที่วินิจฉัยว่า สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเลิกกันโดยปริยาย จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าการงาน 2,140,000 บาท ว่าไม่ถูกต้องอย่างไรจึงเป็นฎีกาไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ออกแบบและส่งมอบแบบโครงการพัทยา สาย 2 ให้แก่จำเลย ส่วนจำเลยก็ได้ชำระค่าบริการวิชาชีพแก่โจทก์ครบตามสัญญา การที่จำเลยยอมรับมอบงานที่โจทก์ทำและชำระค่าบริการให้แก่โจทก์โดยไม่ปรากฏว่ามีข้อโต้แย้งใดบ่งชี้ว่างานออกแบบที่โจทก์ทำขึ้นไม่ถูกต้อง โจทก์จึงย่อมไม่มีความรับผิดใดๆ ตามสัญญาจ้างเดิม การที่โจทก์และจำเลยมาทำสัญญาจ้างออกแบบกันใหม่แม้จะมีเนื้อหาเป็นการให้โจทก์แก้ไขปรับปรุงแบบเดิมที่โจทก์ทำไว้ก็ตาม ต้องถือเป็นการแสดงเจตนาทำสัญญาเพื่อผูกพันตามข้อตกลงใหม่ที่ระบุไว้ในสัญญาจึงไม่ใช่เป็นการก่อหนี้ที่จำเลยเข้าทำสัญญากับโจทก์โดยสำคัญผิดในแบบของสัญญาซึ่งเป็นสาระสำคัญของสัญญาอันจะทำให้สัญญาจ้างออกแบบฉบับใหม่ตกเป็นโมฆะตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ดังนั้น จำเลยจึงต้องผูกพันรับผิดชำระค่าบริการวิชาชีพตามสัญญาฉบับใหม่แก่โจทก์ อย่างไรก็ดี แม้สัญญาฉบับใหม่จะไม่ตกเป็นโมฆะแต่การที่โจทก์ในฐานะผู้มีอาชีพออกแบบในงานสถาปัตยกรรมย่อมต้องมีหน้าที่ออกแบบให้เป็นไปตามข้อตกลงในกรอบของกฎหมาย ดังนั้น การที่โจทก์ออกแบบอาคารเออยู่ในตำแหน่งที่กฎหมายห้ามไม่ให้ก่อสร้างอาคารที่มีจำนวนเกิน 80 ห้อง นั้น แสดงว่าโจทก์ออกแบบโดยไม่คำนึงถึงข้อห้ามตามกฎหมายซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันภยันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับสาธารณชน แม้จำเลยรู้เห็นหรือยินยอมก็ต้องถือว่าโจทก์มีส่วนผิด จึงสมควรไม่กำหนดให้จำเลยรับผิดชำระค่าบริการวิชาชีพงวดที่ 2 ถึงที่ 4 ในส่วนของการออกแบบอาคารเอ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าบริการวิชาชีพเฉพาะในส่วนของการออกแบบอาคารบีเท่านั้น ซึ่งเห็นสมควรกำหนดให้เป็นเงิน 428,000 บาท พร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2551
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์มีหน้าที่ออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมโครงการพหลโยธิน 37 ให้ถูกต้องตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้จำเลยสามารถนำแบบแปลนไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของจำเลยแต่โจทก์กลับไม่ดำเนินการตามสัญญาเป็นเหตุให้จำเลยก่อสร้างอาคารสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด พอถือได้ว่าจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ออกแบบสำหรับการก่อสร้างไม่ถูกต้องแล้ว ข้อนำสืบของจำเลยว่าโจทก์ผิดสัญญาจึงไม่ใช่การนำสืบนอกประเด็นดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น กรณีจึงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาตามสัญญาจ้างออกแบบโครงการพหลโยธิน 37 หรือไม่… ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าการออกแบบของโจทก์เป็นไปตามความประสงค์ของจำเลยที่ต้องการให้เพดานห้องสูงมีความปลอดโปร่งอันส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าซึ่งหากนำไปใช้เป็นแบบในการก่อสร้างจะทำให้อาคารที่ก่อสร้างมีความสูง 25 เมตร เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และการที่โจทก์ซึ่งมีอาชีพด้านการออกแบบยอมกระทำในสิ่งที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันภยันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่สาธารณชนถือว่าโจทก์มีส่วนผิดที่ทำงานโดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากการออกแบบที่ผิดกฎหมายของตน โจทก์จึงไม่สมควรได้รับค่าบริการวิชาชีพงวดที่ 2 ส่วนที่เหลือจำนวน 189,582.60 บาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 9,161,589.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 8,963,582.60 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้บังคับให้โจทก์ชำระเงิน 95,893,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งเคลือบคลุม ค่าเสียหายที่จำเลยเรียกมาสูงเกินจริง ฟ้องแย้งขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ จำเลยชำระเงิน 7,281,778.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 7,091,082.60 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 มกราคม 2552) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 2,117,218.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,115,582.60 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ สำหรับค่าขึ้นศาลให้ชดใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดีโดยกำหนดค่าทนายความให้ 40,000 บาท และให้จำเลยชดใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ในศาลชั้นต้นเป็นเงิน 40,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้ออกแบบสถาปัตยกรรม วิศวกรรมในตัวอาคาร และออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมในบริเวณรอบนอกอาคารในโครงการพัฒนาที่ดินของจำเลย 5 โครงการ โครงการที่ 1 คือโครงการอาคารพักอาศัย 16 ถึง 17 ชั้น ซอยพหลโยธิน 35 หรือโครงการพหลโยธิน 35 ตกลงค่าจ้างในค่าบริการวิชาชีพเป็นเงิน 3,750,000 บาท เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2550 โครงการที่ 2 คือ โครงการอาคารพักอาศัย 8 ชั้น เมืองพัทยาหรือโครงการพัทยานาเกลือ ตกลงค่าจ้างในค่าบริการวิชาชีพเป็นเงิน 7,000,000 บาท เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2550 โครงการที่ 3 คือ โครงการอาคารพักอาศัย 26 ถึง 30 ชั้น ปิ่นเกล้าหรือโครงการปิ่นเกล้าตกลงค่าจ้างในค่าบริการวิชาชีพเป็นเงิน 20,000,000 บาท เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2550 โครงการที่ 4 คือ โครงการปริญสิริ คอนโดมิเนียม เป็นอาคารพักอาศัย 8 ชั้น มีพื้นที่รวม 16,000 ตารางเมตร พัทยา สาย 2 หรือโครงการพัทยา สาย 2 ตกลงค่าจ้างในค่าบริการวิชาชีพเป็นเงิน 3,500,000 บาท เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2550 ต่อมาวันที่ 28 เมษายน 2551 จำเลยว่าจ้างโจทก์ให้ปรับปรุงแก้ไขงานออกแบบในโครงการดังกล่าว ตกลงค่าจ้างในค่าบริการวิชาชีพเป็นเงิน 1,000,000 บาท และโครงการที่ 5 คือ โครงการอาคารพักอาศัย THE PLUSE เป็นอาคาร 8 ชั้น 2 อาคาร พื้นที่รวม 16,000 ตารางเมตร ซอยพหลโยธิน 37 หรือโครงการพหลโยธิน 37 ตกลงค่าจ้างในค่าบริการวิชาชีพเป็นเงิน 2,000,000 บาท ในปี 2550 ตามหนังสือเสนอขอบเขตและค่าบริการวิชาชีพงานออกแบบ ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2551 จำเลยว่าจ้างโจทก์ให้เพิ่มเติมงานออกแบบโครงสร้างในโครงการดังกล่าวในส่วนของการต้านทานแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวเพื่อให้เป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2550 โดยตกลงค่าจ้างในค่าบริการวิชาชีพเป็นเงิน 354,360 บาท การชำระค่าจ้างใน 5 โครงการ ยกเว้นการว่าจ้างตามที่ปรากฏในเอกสารสัญญาจ้างออกแบบและเอกสารหนังสือเสนอราคา จำเลยตกลงแบ่งชำระค่าจ้างให้โจทก์ 6 งวด ตามผลงาน งวดที่ 1 ร้อยละ 10 ในวันทำสัญญา งวดที่ 2 ร้อยละ 20 เมื่องานขั้นแบบร่างขั้นต้นและงานขั้นพัฒนาแบบร่างแล้วเสร็จ ซึ่งโจทก์ตกลงกับจำเลยไว้ในสัญญาส่วนนี้ว่า ในขั้นพัฒนาแบบร่างจำเลยต้องสรุปแนวทางการใช้วัสดุขั้นสุดท้ายและต้องสรุปแนวทางงานระบบวิศวกรรมไว้ด้วย งวดที่ 3 ร้อยละ 20 เมื่องานออกแบบสำหรับยื่นจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้วเสร็จ งวดที่ 4 ร้อยละ 20 เมื่อส่งมอบแบบพิมพ์เขียวสำหรับการขออนุญาตก่อสร้างอาคารที่ได้ออกแบบแล้ว งวดที่ 5 ร้อยละ 25 เมื่อส่งมอบแบบพิมพ์เขียวสำหรับการก่อสร้างที่ได้ออกแบบแล้ว งวดที่ 6 ร้อยละ 5 โดยจ่ายระหว่างดำเนินการก่อสร้างอาคาร โดยขอบเขตงานที่ว่าจ้างจะไม่รวมถึงการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหน้าที่ของจำเลยต้องไปว่าจ้างผู้ชำนาญการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาจัดทำรายงานเอง ตามสัญญาจ้างออกแบบโครงการพหลโยธิน 35 จำเลยชำระค่าจ้างให้โจทก์แล้ว 2 งวด งวดที่ 1 เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2550 เป็นเงิน 401,250 บาท ตามใบเสร็จรับเงิน งวดที่ 2 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2550 เป็นเงิน 802,500 บาท ตามใบเสร็จรับเงิน และจำเลยชำระค่าจ้างงวดที่ 4 ให้โจทก์อีกบางส่วน เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2551 เป็นเงิน 535,000 บาท ตามใบเสร็จรับเงิน สำหรับค่าจ้างงวดที่ 4 ส่วนที่เหลืออีก 267,000 บาท จำเลยไม่ชำระ ตามสัญญาจ้างออกแบบโครงการพัทยานาเกลือ จำเลยชำระค่าจ้างให้โจทก์แล้ว 2 งวด งวดที่ 1 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2550 เป็นเงิน 749,000 บาท ตามใบเสร็จรับเงิน งวดที่ 2 เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2551 เป็นเงิน 1,498,000 บาท ตามใบเสร็จรับเงิน สำหรับค่าจ้างในงวดที่ 4 เป็นเงิน 1,498,000 บาท และในงวดที่ 5 เป็นเงิน 1,872,500 บาท จำเลยไม่ชำระ ตามสัญญาจ้างออกแบบโครงการปิ่นเกล้า จำเลยชำระค่าจ้างงวดที่ 1 ให้โจทก์เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2550 เป็นเงิน 2,140,000 บาท ตามใบเสร็จรับเงิน สำหรับค่าจ้างในงวดที่ 2 เป็นเงิน 4,280,000 บาท จำเลยไม่ชำระ ตามสัญญาจ้างออกแบบ จำเลยชำระค่าจ้างงวดที่ 1 ให้โจทก์เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2551 เป็นเงิน 214,000 บาท ตามใบเสร็จรับเงิน ส่วนค่าจ้างในงวดที่ 2 เป็นเงิน 267,500 บาท งวดที่ 3 เป็นเงิน 267,500 บาท และงวดที่ 4 เป็นเงิน 321,000 บาท จำเลยไม่ชำระ และในการว่าจ้าง จำเลยชำระค่าจ้างงวดที่ 1 ให้โจทก์เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2551 เป็นเงิน 189,582.60 บาท ตามใบเสร็จรับเงิน ส่วนค่าจ้างในงวดที่ 2 เป็นเงิน 189,582.60 บาท จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงมาฟ้องให้จำเลยชำระค่าจ้างในส่วนที่เหลือ โดยอ้างว่า โจทก์ทำงานที่ว่าจ้างเสร็จสิ้นแล้ว แต่จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าจ้างให้โจทก์
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิได้รับเงินค่าบริการวิชาชีพงวดที่ 2 ตามสัญญาจ้างออกแบบโครงการปิ่นเกล้าหรือไม่ โจทก์ฎีกาโดยสรุปว่า โจทก์ทำงานในส่วนของการออกแบบร่างขั้นต้นและพัฒนาแบบร่างเสร็จกับได้ส่งมอบงานให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าบริการวิชาชีพในงวดที่ 2 ตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างออกแบบให้แก่โจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ยังทำงานในส่วนของการออกแบบร่างขั้นต้นและพัฒนาแบบร่างยังไม่แล้วเสร็จ จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างงวดที่ 2 จากจำเลยเป็นการไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า ตามสัญญาจ้างออกแบบโครงการปิ่นเกล้า ได้กำหนดขอบเขตและรายละเอียดของงานออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมกับงานออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมที่จำเลยว่าจ้างให้โจทก์ทำไว้ในข้อสัญญาข้อที่ 1 และกำหนดขั้นตอนการดำเนินงานไว้ในข้อสัญญาข้อที่ 2 โดยในข้อ 2.1 ได้กำหนดรายละเอียดของงานที่โจทก์ต้องทำในขั้นออกแบบร่างและขั้นพัฒนาแบบร่างไว้ด้วย โดยในขั้นพัฒนาแบบร่างได้กำหนดให้โจทก์ต้องทำการปรับปรุงรูปแบบสถาปัตยกรรมให้สอดคล้องกับระยะและระบบทางวิศวกรรม สรุปแนวทางการใช้วัสดุขั้นสุดท้าย และสรุปแนวทางงานระบบวิศวกรรม โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องทำงานในส่วนดังกล่าวด้วย ดังนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากคำเบิกความตอบคำถามค้านของพยานโจทก์ปากนายสันติว่า ซึ่งเป็นแบบร่างขั้นต้นของโครงการปิ่นเกล้าที่โจทก์ส่งมอบให้แก่จำเลยยังไม่ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างก็ต้องถือว่าโจทก์ทำงานในขั้นของการออกแบบร่างขั้นต้นและขั้นพัฒนาแบบร่างยังไม่แล้วเสร็จ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าบริการวิชาชีพในงวดที่ 2 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าบริการวิชาชีพในงวดที่ 2 เป็นเงิน 4,280,000 บาท แต่เมื่อต้นร่างแล้วเสร็จบางส่วน จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าแห่งการงานในส่วนที่โจทก์ทำไปแล้วให้แก่โจทก์เป็นเงิน 2,140,000 บาท นั้น ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับที่จำเลยฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับสัญญาจ้างออกแบบโครงการปิ่นเกล้ามาด้วยว่า โจทก์ทำงานในขั้นออกแบบร่างขั้นต้นและขั้นพัฒนาแบบร่างไม่แล้วเสร็จ จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าบริการวิชาชีพในงวดที่ 2 จากจำเลยนั้น เห็นว่า ตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับโครงการปิ่นเกล้านั้น ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าแห่งการงานอันเนื่องมาจากสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเลิกกันโดยปริยายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม มิได้กำหนดให้จำเลยรับผิดชำระค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการผิดสัญญา ดังนั้น การที่จำเลยฎีกาแต่เพียงว่า โจทก์ทำงานในงวดที่ 2 ยังไม่แล้วเสร็จจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าบริการวิชาชีพในงวดที่ 2 โดยมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเลิกกันโดยปริยาย จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าแห่งการงานเป็นเงิน 2,140,000 บาท ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร เพราะเหตุใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์เป็นประการต่อไปว่า จำเลยต้องรับผิดชำระค่าบริการวิชาชีพงวดที่ 2 ถึงที่ 4 ตามสัญญาจ้างออกแบบโครงการพัทยาสาย 2 หรือไม่ โจทก์ฎีกาโดยสรุปว่า โจทก์และจำเลยทำสัญญาจ้างออกแบบขึ้นโดยมีเจตนาถูกต้องตรงกันและมุ่งที่จะผูกนิติสัมพันธ์ตามข้อตกลงในสัญญา มิใช่เป็นกรณีที่จำเลยทำสัญญาดังกล่าวกับโจทก์โดยสำคัญผิดในสาระสำคัญของสัญญาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยทำสัญญาจ้างออกแบบกับโจทก์โดยสำคัญผิดในแบบของสัญญาซึ่งถือเป็นสาระสำคัญของสัญญา จึงตกเป็นโมฆะ เป็นการไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า ในส่วนของโครงการพัทยาสาย 2 ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยว่าจ้างให้โจทก์ออกแบบโครงการดังกล่าวมาแล้วครั้งหนึ่งดังปรากฏตามสัญญาจ้างออกแบบ ซึ่งตามสัญญาระบุว่า ให้ออกแบบอาคารสูง 8 ชั้น 1 อาคาร พื้นที่ประมาณ 16,000 ตารางเมตร ภายหลังจากทำสัญญา โจทก์ก็ได้ดำเนินการออกแบบและส่งมอบแบบให้แก่จำเลย ส่วนจำเลยก็ได้ชำระค่าบริการวิชาชีพให้แก่โจทก์ครบถ้วนตามสัญญาแล้วเช่นกัน ซึ่งการที่จำเลยยอมรับมอบงานที่โจทก์ทำและชำระค่าบริการวิชาชีพให้แก่โจทก์โดยไม่ปรากฏว่ามีข้อโต้แย้งใด ๆ บ่งชี้ว่า งานออกแบบที่โจทก์ทำขึ้นถูกต้องตามสัญญาและเป็นไปตามความประสงค์ในขณะนั้นของจำเลยแล้ว โจทก์จึงย่อมไม่มีหนี้หรือความรับผิดใดๆ ตามสัญญาจ้างออกแบบอีก การที่โจทก์และจำเลยมาทำสัญญาจ้างออกแบบกันใหม่ แม้จะมีเนื้อหาเป็นการจ้างให้โจทก์ทำการแก้ไขปรับปรุงแบบที่โจทก์ทำไว้เดิมก็ตาม แต่ก็ต้องถือว่าเป็นการแสดงเจตนาทำสัญญาเพื่อผูกพันตามข้อตกลงใหม่ที่ระบุไว้ในสัญญา จึงหาใช่เป็นกรณีที่จำเลยเข้าทำสัญญากับโจทก์โดยสำคัญผิดในแบบของสัญญาซึ่งถือเป็นสาระสำคัญของสัญญา อันจะทำให้สัญญาจ้างออกแบบตกเป็นโมฆะตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ จำเลยจึงต้องผูกพันรับผิดชำระค่าบริการวิชาชีพให้แก่โจทก์ อย่างไรก็ตาม แม้สัญญาจะไม่ตกเป็นโมฆะ แต่การที่โจทก์ในฐานะผู้มีอาชีพในการออกแบบงานสถาปัตยกรรมย่อมมีหน้าที่ที่ต้องออกแบบโครงการให้เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาและภายในกรอบของกฎหมาย ดังนั้น การที่โจทก์ออกแบบโครงการพัทยาสาย 2 ตามสัญญาจ้างออกแบบ โดยแบ่งอาคารออกเป็นอาคารเอ และอาคารบี โดยอาคารเอมี 96 ห้อง ทั้งที่สถานที่ก่อสร้างอาคารเออยู่ในตำแหน่งที่กฎหมายห้ามมิให้ก่อสร้างอาคารที่มีจำนวนห้องเกิน 80 ห้อง นั้น แสดงว่าโจทก์ออกแบบอาคารเอโดยไม่คำนึงถึงข้อห้ามตามกฎหมายซึ่งเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันภยันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับสาธารณชน แม้จำเลยจะรู้เห็นยินยอมก็ตาม แต่ก็ต้องถือว่าโจทก์มีส่วนผิดอยู่ด้วย จึงเห็นสมควรไม่กำหนดให้จำเลยรับผิดชำระค่าบริการวิชาชีพงวดที่ 2 ถึงที่ 4 ในส่วนของการออกแบบอาคารเอ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าบริการวิชาชีพเฉพาะในส่วนของการออกแบบอาคารบีเท่านั้น ซึ่งเห็นสมควรกำหนดให้เป็นเงิน 428,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2551 สำหรับค่าบริการวิชาชีพงวดที่ 1 ซึ่งจำเลยชำระให้โจทก์ไปแล้ว จำเลยย่อมไม่มีสิทธิเรียกคืน ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในปัญหานี้มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับสัญญาจ้างออกแบบโครงการพหลโยธิน 37 ในทำนองว่า จำเลยนำสืบในเรื่องการผิดสัญญาของโจทก์นอกประเด็นในคำให้การจึงต้องห้ามมิให้รับฟัง แล้วฟังว่าโจทก์ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเป็นการชอบหรือไม่นั้น จำเลยฎีกาว่า ข้อนำสืบในเรื่องการผิดสัญญาของโจทก์เป็นการนำสืบตามที่จำเลยให้การไว้ในคำให้การและฟ้องแย้งข้อ 1.5 หาใช่เป็นการนำสืบนอกประเด็นตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ เห็นว่า คดีนี้จำเลยได้ให้การไว้ในคำให้การและฟ้องแย้งข้อ 1.5 ตอนหนึ่งว่า โจทก์มีหน้าที่ออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมโครงการพหลโยธิน 37 ให้ถูกต้องตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้จำเลยสามารถนำแบบแปลนไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของจำเลย แต่โจทก์กลับไม่ดำเนินการตามเงื่อนไขในสัญญาเป็นเหตุให้จำเลยก่อสร้างอาคารสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งตามคำให้การและฟ้องแย้งข้อ 1.5 ดังกล่าว พอถือได้ว่าจำเลยได้ให้การต่อสู้ว่า โจทก์ออกแบบสำหรับการก่อสร้างไม่ถูกต้องด้วยแล้ว ข้อนำสืบของจำเลยจึงไม่ใช่การนำสืบนอกประเด็นดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น กรณีจึงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาตามสัญญาจ้างออกแบบโครงการพหลโยธิน 37 หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความตอบคำถามค้านของพยานโจทก์ปากนายสันติว่า แบบสำหรับการก่อสร้างโครงการพหลโยธิน 37 ที่โจทก์ทำขึ้นมีความสูงระหว่างชั้นไม่เป็นไปตามที่ระบุไว้ในแบบสำหรับการขออนุญาตก่อสร้าง ทั้งปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อนำไปเป็นแบบในการก่อสร้างจะทำให้อาคารที่ก่อสร้างขึ้นมีความสูง 25 เมตร เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด การที่โจทก์ออกแบบสำหรับการก่อสร้างโดยไม่ยึดถือความสูงตามแบบสำหรับการขออนุญาตก่อสร้างทั้งที่การออกแบบสำหรับการก่อสร้างโดยยึดถือตามแบบสำหรับการขออนุญาตก่อสร้างเดิมจะเป็นการง่ายต่อโจทก์มากกว่านั้น น่าเชื่อว่าเป็นการออกแบบไปตามความประสงค์ของฝ่ายจำเลยที่ต้องการให้เพดานห้องสูง มีความปลอดโปร่งอันส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า อย่างไรก็ตามการที่โจทก์ซึ่งมีอาชีพด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมแต่กลับกระทำในสิ่งที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันภยันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่สาธารณชน ถือได้ว่าโจทก์มีส่วนผิดที่ทำงานโดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากการออกแบบที่ผิดกฎหมายของตน โจทก์จึงไม่สมควรที่จะได้รับค่าบริการวิชาชีพงวดที่ 2 ส่วนที่เหลือจำนวน 189,582.60 บาท ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ในส่วนนี้มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 6,228,997.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 6,206,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยโจทก์ไม่ต้องคืนเงินจำนวน 214,000 บาท แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องและฟ้องแย้งในชั้นอุทธรณ์และค่าธรรมเนียมในชั้นฎีกา นอกจากที่สั่งคืนให้ตกเป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์