แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 1(ข) โดยสรุปว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันดัดแปลงต่อเติมเรือเอี้ยมจุ๊นซึ่งมิใช่เรือที่ทำขึ้นสำหรับขนส่งคนโดยสารโดยไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการและไม่ได้มาตรฐานโดยต่อเติมชั้นสองของเรือเป็นดาดฟ้าให้บรรทุกขนส่งคนโดยสารได้ ส่วนของโครงหลังคาชั้นสองมีเสาเหล็กรองรับ 17 ต้น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว พื้นดาดฟ้าชั้นสองเป็นเหล็กแผ่นเรียบ หนาประมาณ 1 หุน ยึดติดกับเสาเหล็กไม่แข็งแรง คานรับดาดฟ้าเล็ก และดาดฟ้าสูงจากพื้นชั้นล่าง 2.10 เมตร ซึ่งสูงเกินไปไม่สามารถบรรทุกคนโดยสารได้อย่างปลอดภัยและไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่เจ้าพนักงานกรมเจ้าท่าจะออกใบอนุญาตใช้เรือให้เป็นเรือรับจ้างขนส่งคนโดยสารได้และตามวันเวลาในฟ้องข้อ 1 จำเลยทั้งห้าใช้เรือลำเกิดเหตุบรรทุกคนโดยสารมากถึง 70 คน ซึ่งลักษณะและการบรรทุกน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในเรือ แล้วแล่นไปในบริเวณอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์และการกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งจำเลยทั้งห้าจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ แต่จำเลยทั้งห้าหาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เมื่อดาดฟ้าชั้นสองไม่สามารถรับน้ำหนักคนโดยสารเป็นจำนวนมากหักลง เรือเสียการทรงตัวและพลิกคว่ำเป็นเหตุให้คนโดยสารจมน้ำตาย 39 คน ดังนี้ คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยทั้งห้าได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยทั้งห้าเข้าใจข้อหาได้ดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) และครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 233 และองค์ประกอบของการกระทำโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
แม้การตกลงว่าจ้างเรือทั้งสองลำกระทำในคราวเดียวกันและมีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน แต่เรือที่จำเลยที่ 2 และที่ 4 ใช้กระทำความผิดในคดีนี้กับเรือที่จำเลยที่ 2 และที่ 4 ใช้กระทำความผิดในคดีอาญาของศาลแขวงขอนแก่น เป็นเรือคนละลำกัน สามารถแยกการกระทำออกจากกันได้กรณีจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ฉะนั้น แม้ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในคดีอาญาของศาลแขวงขอนแก่น โจทก์ก็ยังมีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2และที่ 4 ในคดีนี้ หาเป็นฟ้องซ้ำไม่
พยานโจทก์ทั้งสองจบการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือ หลักสูตร 5 ปี เรือโท ส. รับราชการที่กรมเจ้าท่าในตำแหน่ง เจ้าพนักงานตรวจเรือเป็นเวลาประมาณ 3 ปี มีหน้าที่เกี่ยวกับการตรวจเรือมาโดยตลอด ส่วนเรือเอก ช. รับราชการเป็นเจ้าท่าภูมิภาคที่ 7 มีตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานตรวจเรือตั้งแต่ปี 2510 ถึง 2530 พยานทั้งสองจึงเป็นผู้ชำนาญการพิเศษในการตรวจเรือความเห็นของพยานทั้งสองจึงเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยชี้ขาดและมีน้ำหนักให้รับฟังได้
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ร่วมทุนกันซื้อเรือลำเกิดเหตุซึ่งเป็นเรือเอี้ยมจุ๊นมาต่อเติมดัดแปลงเป็นเรือสองชั้นเพื่อรับจ้างขนส่งคนโดยสารไปชมทิวทัศน์ในอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ โดยจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ยื่นขอใบอนุญาตใช้เรือต่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ดูแลเขื่อนอุบลรัตน์ จำเลยที่ 3มีหน้าที่จัดหาผู้โดยสารเรือ จำเลยที่ 4 มีหน้าที่ออกแบบต่อเติมเรือและได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ควบคุมเรือลำเกิดเหตุซึ่งมีลักษณะน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในเรือนั้น ไปใช้รับจ้างขนส่งคนโดยสารด้วยการบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในเรือนั้น จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 233 ประกอบด้วยมาตรา 83เมื่อการกระทำนั้นเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4จึงต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 238 วรรคหนึ่ง
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ใช้เรือลำเกิดเหตุรับจ้างขนส่งคนโดยสารโดยเจตนาจนน่าจะเกิดอันตรายแก่บุคคลในเรือนั้น อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 233 กรณีไม่ใช่กระทำโดยประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสี่ ซึ่งจะต้องเป็นการกระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แม้ผลแห่งการกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายอันนอกเหนือจากเจตนาที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลก็ตาม แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 238 วรรคหนึ่ง ก็บัญญัติให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 รับโทษหนักขึ้นในผลแห่งการกระทำความผิดตามมาตรา 233จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่มีความผิดฐานกระทำโดยประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายอีกบทหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2533 เวลากลางวัน จำเลยทั้งห้าร่วมกันนำเรือเอี้ยมจุ๊นที่ใช้สำหรับบรรทุกข้าวหรือทราย ตัวเรือเป็นไม้ขนาดยาว13.40 เมตร กว้าง 3.40 เมตร ลึก 1 เมตร เดินด้วยกำลังเครื่องกลขนาด65 แรงม้า ขนาดเรือ 12.40 ตันกรอส มาแล่นและใช้ขนส่งคนโดยสารในบริเวณอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้ใช้เรือ ทั้งมิได้รับการยกเว้นให้ไม่ต้องรับใบอนุญาตใช้เรือ และเรือลำดังกล่าวนั้นมีลักษณะและมีการบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในเรือ กล่าวคือ มีการดัดแปลงเรือดังกล่าวหลายรายการ โดยจำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันต่อเติมเพิ่มชั้นสองของเรือเป็นดาดฟ้าส่วนของโครงหลังคาด้านบนชั้นสองมีเสาเหล็กรองรับ 17 ต้น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว พื้นดาดฟ้าทำด้วยเหล็กดัดธรรมดา ตัวพื้นใช้เหล็กแผ่นเรียบหนาประมาณ 1 หุนและยึดติดกับเสาไม่แข็งแรง คานรับดาดฟ้าเล็กเกินไปและดาดฟ้ายังสูงจากพื้นล่าง 2.10 เมตร ซึ่งสูงเกินไปไม่สามารถนำมาใช้บรรทุกขนส่งคนโดยสารได้อย่างปลอดภัยเพราะจุดศูนย์ถ่วงของเรืออยู่สูงเป็นเหตุให้ตัวเรือรับน้ำหนักชั้นดาดฟ้าไม่สมดุลอาจจะเกิดอันตรายพลิกคว่ำได้ง่าย เนื่องจากวัสดุที่ใช้ไม่ได้ขนาดและไม่แข็งแรงพอทั้งลักษณะการต่อเติมและความแข็งแรงของเรือไม่ถูกหลักวิชาการและไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่เจ้าพนักงานกรมเจ้าท่าจะออกใบอนุญาตใช้เรือเพื่อให้ใช้เป็นเรือรับจ้างขนส่งคนโดยสารได้และไม่สามารถบรรทุกคนโดยสารได้เกินกว่า 45 คน โดยจำนวนนี้สามารถแบ่งบรรทุกคนโดยสารบนดาดฟ้าชั้นสองได้ไม่เกิน 15 คน แต่จำเลยทั้งห้าก็มิได้กำหนดจำนวนคนโดยสารที่จะใช้บริการโดยสารให้อยู่ในอัตราดังกล่าวโดยจำเลยทั้งห้าใช้เรือลำดังกล่าวเป็นยานพาหนะรับจ้างขนส่งคนโดยสารมากถึง 70 คน และจัดให้คนโดยสารขึ้นบนชั้นดาดฟ้าชั้นสอง 40 คน แล่นไปในบริเวณอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ โดยใช้เครื่องยนต์เรือหางยาวบังคับท้ายอันฝ่าฝืนต่อกฎหมายและเป็นการกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งจำเลยทั้งห้าในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์กล่าวคือ จำเลยทั้งห้าจะต้องไม่ใช้เรือดังกล่าวบรรทุกขนส่งคนโดยสารหรือหากใช้บรรทุกขนส่งคนโดยสารจำเลยทั้งห้าจะต้องจัดให้คนโดยสารลงเรือไม่เกินกว่า 45 คน และให้ขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้าชั้นสองของเรือไม่เกิน 15 คน พร้อมทั้งจัดหาชูชีพติดเรือไว้ครบตามจำนวนคนโดยสารซึ่งจำเลยทั้งห้าอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่กลับนำเรือลำดังกล่าวบรรทุกคนโดยสารจำนวนมากทั้งที่รู้ว่าน่าจะเป็นอันตรายแก่คนโดยสารในเรือ เมื่อเรือลำดังกล่าวแล่นออกไปจากฝั่งประมาณ 100 เมตร ดาดฟ้าชั้นสองซึ่งรับน้ำหนักมากเกินไปจึงหักลงเรือเสียการทรงตัวและพลิกคว่ำ และเนื่องจากเรือดังกล่าวมิได้มีชูชีพไว้ ทำให้คนโดยสารในเรือจมน้ำจนถึงแก่ความตายรวม 39 คน ตามรายชื่อผู้ตายท้ายคำฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 3 ที่ 2 และที่ 4 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5357-5358/2534 ของศาลแขวงขอนแก่น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 233, 238, 291, 83, 91 พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำสยาม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2481 มาตรา 4, 5, 9 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 50 (พ.ศ. 2515) ข้อ 2 และนับโทษจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5357-5358/2534 ของศาลแขวงขอนแก่น
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5ไม่ได้ให้การถือว่าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำสยาม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2481 มาตรา 9 วรรคแรก ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ปรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 คนละ 2,000 บาทและจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 233, 238 และ 291 อันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษจำเลยที่ 1ในข้อหาใช้ยานพาหนะรับจ้างขนส่งคนโดยสารเมื่อยานพาหนะนั้นมีลักษณะหรือการบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในยานพาหนะนั้น และเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 15 ปี อีกกระทงหนึ่งรวมลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 15 ปี ปรับ 2,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี 6 เดือนปรับ 1,000 บาท ส่วนที่ขอให้นับโทษจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5357-5358/2534 ของศาลแขวงขอนแก่น ให้ยกเสีย เพราะคดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษารอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยดังกล่าวให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในข้อหาอื่น และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 5
โจทก์อุทธรณ์โดยความผิดฐานร่วมกันใช้เรือที่มิได้รับใบอนุญาตใช้เรืออธิบดีอัยการเขต 4 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอธิบดีกรมอัยการรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 233, 238 วรรคหนึ่ง และ 291 ด้วย เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ในข้อหาใช้ยานพาหนะรับจ้างขนส่งคนโดยสาร เมื่อยานพาหนะนั้นมีลักษณะหรือการบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในยานพาหนะนั้นและเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 238 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 15 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 2 และที่ 4 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าคำฟ้องโจทก์ข้อ 1(ข) เคลือบคลุม เพราะโจทก์มิได้บรรยายว่า ดาดฟ้าชั้นสองของเรือลำเกิดเหตุต้องมีความสูงจากพื้นชั้นล่างเท่าใด จึงจะไม่ทำให้เรือเสียสมดุลเสาและคานที่รองรับดาดฟ้าชั้นสองต้องมีขนาดเท่าใด และรับน้ำหนักได้เพียงใดจึงจะแข็งแรงใช้เป็นยานพาหนะขนส่งคนโดยสารได้อันเป็นองค์ประกอบสำคัญของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 233 และองค์ประกอบของการกระทำโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ ทำให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่เข้าใจข้อหาและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ถูกต้องนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 1(ข) โดยสรุปว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันดัดแปลงต่อเติมเรือเอี้ยมจุ๊นซึ่งมิใช่เรือที่ทำขึ้นสำหรับขนส่งคนโดยสารโดยไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการและไม่ได้มาตรฐานโดยต่อเติมชั้นสองของเรือเป็นดาดฟ้าให้บรรทุกขนส่งคนโดยสารได้ส่วนของโครงหลังคาชั้นสองมีเสาเหล็กรองรับ 17 ต้น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง1 นิ้ว พื้นดาดฟ้าชั้นสองเป็นเหล็กแผ่นเรียบหนาประมาณ 1 หุน ยึดติดกับเสาเหล็กไม่แข็งแรง คานรับดาดฟ้าเล็ก และดาดฟ้าสูงจากพื้นชั้นล่าง 2.10 เมตรซึ่งสูงเกินไปไม่สามารถบรรทุกคนโดยสารได้อย่างปลอดภัย และไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่เจ้าพนักงานกรมเจ้าท่าจะออกใบอนุญาตใช้เรือให้เป็นเรือรับจ้างขนส่งคนโดยสารได้ และตามวันเวลาในฟ้องข้อ 1 จำเลยทั้งห้าใช้เรือลำเกิดเหตุบรรทุกคนโดยสารมากถึง 70 คน ซึ่งลักษณะและการบรรทุกน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในเรือแล้วแล่นไปในบริเวณอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์และการกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งจำเลยทั้งห้าจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ แต่จำเลยทั้งห้าหาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เมื่อดาดฟ้าชั้นสองไม่สามารถรับน้ำหนักคนโดยสารเป็นจำนวนมากหักลง เรือเสียการทรงตัวและพลิกคว่ำเป็นเหตุให้คนโดยสารจมน้ำตาย 39 คนดังนี้ คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยทั้งห้าได้กระทำผิดข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยทั้งห้าเข้าใจข้อหาได้ดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)และครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 233และองค์ประกอบของการกระทำโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ที่จำเลยที่ 2 และที่ 4 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายอีกว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 4 ในคดีนี้ ซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5357-5358/2534 ของศาลแขวงขอนแก่น โดยในคดีดังกล่าวโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 4 เป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำสยามและความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนแม้เป็นเรือคนละลำกัน แต่การตกลงว่าจ้างเรือทั้งสองลำกระทำในคราวเดียวกันและมีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5357-5358/2534 ของศาลแขวงขอนแก่นโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 4 ในคดีนี้ไม่ได้นั้น เห็นว่า แม้การตกลงว่าจ้างเรือทั้งสองลำกระทำในคราวเดียวกันและมีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกันแต่เรือที่จำเลยที่ 2 และที่ 4 ใช้กระทำความผิดในคดีนี้กับเรือที่จำเลยที่ 2 และที่ 4ใช้กระทำความผิดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5357-5358/2534 ของศาลแขวงขอนแก่น เป็นเรือคนละลำกัน สามารถแยกการกระทำออกจากกันได้กรณีจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ฉะนั้น แม้ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5357-5358/2534 ของศาลแขวงขอนแก่น โจทก์ก็ยังมีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 4 ในคดีนี้หาเป็นฟ้องซ้ำดังที่จำเลยที่ 2 และที่ 4 ฎีกาไม่
ที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่มีความผิดฐานร่วมกันใช้ยานพาหนะรับจ้างขนส่งคนโดยสารเมื่อยานพาหนะนั้นมีลักษณะหรือมีการบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในยานพาหนะนั้นและเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายกับไม่มีความผิดฐานร่วมกันกระทำโดยประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายนั้น สำหรับความผิดในข้อหาแรก ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4ได้ร่วมกันซื้อเรือลำเกิดเหตุมาใช้ประกอบกิจการท่องเที่ยว โดยจำเลยที่ 4ซึ่งเป็นวิศวกรออกแบบต่อเติมเป็นเรือสองชั้น และติดเครื่องยนต์เพื่อรับจ้างขนส่งคนโดยสารแล่นชมทิวทัศน์ในบริเวณอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์โดยไม่ได้จดทะเบียนรับใบอนุญาตใช้เรือตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 1ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ควบคุมเรือบรรทุกคนโดยสารซึ่งเป็นคณะนักศึกษาและอาจารย์จากวิทยาลัยการสาธารณสุขภาคต่าง ๆ กับวิทยาลัยเภสัชกรรมโรงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพมหานคร แล่นไปตามลำน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ เมื่อเรือแล่นออกจากท่าไปประมาณ 100 เมตร เรือพลิกคว่ำเป็นเหตุให้คนโดยสารถึงแก่ความตาย 39 คน และจากคำเบิกความของเรือโทสีหนาทมีจิตร เจ้าพนักงานตรวจเรือ กับเรือเอกชัยรัตน์ ศรีตุลานนท์ อดีตเจ้าพนักงานตรวจเรือ พยานโจทก์ ประกอบบันทึกการตรวจเรือตามเอกสารหมาย ป.จ.1(ศาลจังหวัดหนองคาย) ได้ความว่า พยานทั้งสองไปตรวจเรือลำเกิดเหตุหลังเกิดเหตุพบว่าเรือลำเกิดเหตุเป็นเรือเอี้ยมจุ๊นใช้สำหรับบรรทุกข้าวหรือทราย ตัวเรือทำด้วยไม้ มีขนาดยาว 13.40 เมตร กว้าง 3.40 เมตร มีการดัดแปลงต่อเติมเป็นเรือสองชั้น ดาดฟ้าชั้นบนหลุด เสารองรับดาดฟ้าหักโครงหลังคาเป็นเหล็กท่อแป๊บยึดติดกัน เสาเหล็กรองรับบางเชื่อมเป็นจุดไม่ได้เชื่อมรวมทำให้ไม่แข็งแรง พื้นดาดฟ้าชั้นบนปูด้วยเหล็กแผ่นเรียบขนาดประมาณครึ่งหุน เสาเหล็กรองรับดาดฟ้าสูงเกินไปโดยสูงจากพื้นชั้นล่าง 2.10 เมตร หากบรรทุกคนโดยสารบนดาดฟ้ามากจะทำให้จุดศูนย์ถ่วงเลื่อนสูงไปข้างบน เรือโคลงและพลิกคว่ำง่าย ดาดฟ้าชั้นสองหากมีสภาพแข็งแรงจะบรรทุกคนโดยสารได้เพียง 15 คน นอกจากนี้เครื่องยนต์ประจำเรือเป็นแบบเบา ใบจักรยาวติดอยู่กาบเรือด้านซ้ายของท้ายเรือหากวางเครื่องยนต์อยู่กลางลำจะบังคับเรือได้ง่ายและมีความปลอดภัยมากกว่า เรือลำเกิดเหตุถ้ามีการยื่นขอจดทะเบียนรับใบอนุญาตใช้เรือจะไม่ได้รับอนุญาต สภาพเรือลำเกิดเหตุปรากฏตามภาพถ่ายหมาย จ.1ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า พยานโจทก์ทั้งสองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการต่อเรือโดยตรงความเห็นของพยานโจทก์ทั้งสองไม่มีน้ำหนักให้รับฟังนั้น เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองจบการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือ หลักสูตร 5 ปี เรือโทสีหนาทรับราชการที่กรมเจ้าท่าในตำแหน่งเจ้าพนักงานตรวจเรือเป็นเวลาประมาณ 3 ปี มีหน้าที่เกี่ยวกับการตรวจเรือมาโดยตลอด ส่วนเรือเอกชัยรัตน์รับราชการเป็นเจ้าท่าภูมิภาคที่ 7 มีตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานตรวจเรือตั้งแต่ปี 2510 ถึง 2530พยานทั้งสองจึงเป็นผู้ชำนาญการพิเศษในการตรวจเรือ ความเห็นของพยานทั้งสองจึงเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยชี้ขาดและมีน้ำหนักให้รับฟังได้ และโจทก์มีนางสาววาสนา เสลาหอม นางสาวศรีเพ็ญ แซ่เซ้ง นางสาวกำไรทารัตน์ นายสงครามชัย ลีทองดี และนายวิมุติ อุทะกัง ซึ่งโดยสารไปกับเรือลำเกิดเหตุเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า เรือลำเกิดเหตุมีคนโดยสารประมาณ70 คน โดยอยู่ชั้นบนประมาณ 40 คน และชั้นล่างประมาณ 30 คน จำเลยที่ 1ซึ่งปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ควบคุมเรือลำเกิดเหตุ ก็เบิกความยอมรับว่า มีคนโดยสารในเรือลำเกิดเหตุตามจำนวนดังกล่าวจริง ข้อเท็จจริงเชื่อว่าเรือลำเกิดเหตุมีคนโดยสารประมาณ 70 คน โดยอยู่ชั้นบนประมาณ 40 คนและชั้นล่างประมาณ 30 คน หาใช่มีคนโดยสารทั้งสิ้น 57 คน ดังที่จำเลยที่ 3 ฎีกาไม่และจากคำเบิกความของเรือโทสีหนาทและเรือเอกชัยรัตน์ประกอบบันทึกการตรวจเรือ ตามเอกสารหมาย ป.จ.1 (ศาลจังหวัดหนองคาย) กับภาพถ่ายสภาพเรือหมาย จ.1 เห็นได้ว่าเรือลำเกิดเหตุมิได้สร้างมาเพื่อรับน้ำหนักทางส่วนสูง การดัดแปลงต่อเติมดาดฟ้าชั้นสองในสภาพที่ไม่มั่นคงแข็งแรงและบรรทุกคนโดยสารชั้นสองมากประมาณ 40 คน ชั้นล่างประมาณ 30 คนทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 2 มีหนังสือถึงผู้อำนวยการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเขต 2 เขื่อนอุบลรัตน์ เรื่องขอนำเรือท่องเที่ยวมาใช้ในอ่างเก็บน้ำโดยระบุว่า จะนำเรือที่ได้จดทะเบียนรับใบอนุญาตใช้เรือได้ตามกฎหมายมาแล่นในอ่างเก็บน้ำโดยโครงสร้างของเรือบรรทุกนักท่องเที่ยวได้ครั้งละ 30 ถึง40 คน การที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 นำเรือลำเกิดเหตุซึ่งไม่ได้รับใบอนุญาตใช้เรือมาแล่นรับจ้างขนส่งคนโดยสารในอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์จึงเจือสมกับคำเบิกความของเรือโทสีหนาทและเรือเอกชัยรัตน์ว่า เรือดังกล่าวมีสภาพไม่มั่นคงแข็งแรง เสารองรับดาดฟ้าสูงเกินไป หากบรรทุกคนโดยสารบนดาดฟ้ามากจะทำให้จุดศูนย์ถ่วงเลื่อนสูงไปข้างบน เรือโคลงและพลิกคว่ำได้ง่ายและถ้ายื่นขอจดทะเบียนเพื่อรับใบอนุญาตให้ใช้เรือจะไม่ได้รับอนุญาตและความจากคำเบิกความของนายธีระศักดิ์ จรูญไธสง นายจักรี แข็งการนางสาวเนตรนภา สวนศรี และนายสมชาย ตามวงศ์ ตลอดจนพยานโจทก์ปากอื่นที่โดยสารไปกับเรือลำเกิดเหตุว่าเรือลำเกิดเหตุแล่นออกจากท่าไปได้ประมาณ 100 เมตร ผู้ควบคุมเรือเลี้ยวเรือเพื่อแล่นตามเรืออีกลำหนึ่งขณะเดียวกันเสาเรือทางด้านขวาหัก พื้นชั้นสองทางด้านขวาทรุดลง คนโดยสารเลื่อนไหลไปทางด้านขวาทำให้เรือเอียงไปทางด้านขวาและพลิกคว่ำในที่สุดโดยไม่ปรากฏว่าคนโดยสารบนดาดฟ้าชั้นสองมีการเต้นรำทำเพลง เหตุที่เรือพลิกคว่ำจึงเป็นเพราะโครงสร้างดาดฟ้าชั้นสองของเรือและการบรรทุกคนโดยสารเป็นจำนวนมาก ตามลักษณะเรือลำเกิดเหตุและการบรรทุกคนโดยสารเท่าที่โจทก์นำสืบมาเห็นได้ตามความรู้ความเข้าใจของวิญญูชนทั่วไปว่าน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในเรือ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงย่อมรู้ถึงลักษณะของเรือดังกล่าวดี การกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงเป็นการใช้เรือลำเกิดเหตุรับจ้างขนส่งคนโดยสารโดยเจตนาจนน่าจะเกิดอันตรายแก่บุคคลในเรือนั้น อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 233 และเมื่อเป็นเหตุให้คนโดยสารถึงแก่ความตายซึ่งเป็นผลธรรมดาอันเกิดจากการกระทำความผิดดังกล่าว จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงต้องรับโทษหนักขึ้นตามมาตรา 238 วรรคหนึ่ง
ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1แต่ผู้เดียวไม่เกี่ยวกับจำเลยอื่นนั้น เห็นว่า ตามทางนำสืบของโจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ความว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ร่วมทุนกันซื้อเรือลำเกิดเหตุซึ่งเป็นเรือเอี้ยมจุ๊นมาต่อเติมดัดแปลงเป็นเรือสองชั้นเพื่อรับจ้างขนส่งคนโดยสารไปชมทิวทัศน์ในอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ โดยจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ยื่นขอใบอนุญาตใช้เรือต่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นผู้ดูแลเขื่อนอุบลรัตน์ จำเลยที่ 3 มีหน้าที่จัดหาผู้โดยสารเรือ จำเลยที่ 4มีหน้าที่ออกแบบต่อเติมเรือและได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ควบคุมเรือลำเกิดเหตุซึ่งมีลักษณะน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในเรือนั้น ไปใช้รับจ้างขนส่งคนโดยสารด้วยการบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในเรือนั้น จำเลยที่ 1ถึงที่ 4 จึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 233 ประกอบด้วยมาตรา 83 เมื่อการกระทำนั้นเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 238 วรรคหนึ่ง
ส่วนความผิดฐานกระทำโดยประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 นั้น เมื่อข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ใช้เรือลำเกิดเหตุรับจ้างขนส่งคนโดยสารโดยเจตนาจนน่าจะเกิดอันตรายแก่บุคคลในเรือนั้นอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 233 กรณีจึงไม่ใช่กระทำโดยประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสี่ซึ่งจะต้องเป็นการกระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แม้ผลแห่งการกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายอันนอกเหนือจากเจตนาที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลก็ตามแต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 238 วรรคหนึ่ง ก็บัญญัติให้จำเลยที่ 2ถึงที่ 4 รับโทษหนักขึ้นในผลแห่งการกระทำความผิดตามมาตรา 233จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่มีความผิดฐานกระทำโดยประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายอีกบทหนึ่ง กรณีเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีแม้จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1ที่มิได้ฎีกาให้มิต้องถูกรับโทษในบทมาตราดังกล่าวด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
ที่จำเลยที่ 2 และที่ 4 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษและจำเลยที่ 3 ฎีกาขอความปรานีต่อศาลฎีกานั้น เห็นสมควรกำหนดโทษจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้เบาลง แต่โทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ศาลจะรอการลงโทษให้ได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 233, 238 วรรคหนึ่ง ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ6 ปี จำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 8 ปี ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1ถึงที่ 4 ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1