คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7540/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2535ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องจำหน่ายคดี วันที่ 6 มีนาคม 2535 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดี เพราะโจทก์ไม่ได้จงใจทิ้งฟ้อง ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งคำร้องดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2535 ว่า เมื่อโจทก์ได้ลงชื่อในท้ายคำร้องทราบคำสั่งศาลชั้นต้นในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งของศาลในวันนั้นแล้วให้ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดี เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2535 ดังนี้ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์นั้นศาลชั้นต้นมีอำนาจเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีดังกล่าวเสียได้หากมีเหตุผลสมควร กรณีจึงต้องถือว่ากำหนดระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2535 อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ของโจทก์ เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์ในวันที่8 เมษายน 2535 จึงไม่พ้นกำหนด 1 เดือนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและนัดสืบพยานโจทก์โดยให้โจทก์เป็นผู้นำส่งหมายแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 และทนายจำเลยที่ 2 ทราบภายใน 7 วันมิฉะนั้นถือว่าทิ้งฟ้อง ดังนี้เมื่อปรากฏว่าโจทก์วางเงินค่าธรรมเนียมการนำส่งหมายแก่จำเลยที่ 2 ถือได้ว่าเป็นการวางเงินค่าธรรมเนียมการนำส่งหมายแก่ทนายจำเลยที่ 2 ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วการที่เจ้าพนักงานกรมบังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์หรือผู้แทนโจทก์ไม่มาเสียค่าธรรมเนียมในการส่งหมายซึ่งหมายถึงค่าธรรมเนียมการส่งหมายแก่จำเลยที่ 2 จึงเป็นรายงานที่ไม่ถูกต้อง กรณียังไม่อาจถือได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีตามคำสั่งของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2 จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายจำนวน 1,597,912 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและดำเนินคดีต่อไปศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและนัดสืบพยานโจทก์ โดยให้โจทก์เป็นผู้นำส่งหมายแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 และทนายจำเลยที่ 2 ทราบภายใน 7 วันมิฉะนั้นถือว่าทิ้งฟ้อง
ต่อมาพนักงานเดินหมายได้ส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยวิธีปิดหมายแล้ว ส่วนจำเลยที่ 2 นั้นเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นลงวันที่27 มกราคม 2535 ว่า ล่วงเลยกำหนดการนำส่งหมายแล้ว โจทก์หรือผู้แทนโจทก์ไม่มาเสียค่าธรรมเนียมในการส่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2535ว่าถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2
วันที่ 6 มีนาคม 2535 โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์มิได้จงใจทิ้งฟ้องที่จะไม่วางเงินค่านำส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ให้แก่ทนายจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่11 มีนาคม 2535 ว่า เมื่อโจทก์ได้ลงชื่อไว้ท้ายคำร้องที่ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การว่าโจทก์รอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอถือว่าทราบแล้ว ถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งของศาลในวันนั้นแล้วให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาข้อแรกว่าอุทธรณ์ของโจทก์ยังไม่พ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ตามกฎหมายนั้นคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2535ว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 วันที่6 มีนาคม 2535 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะโจทก์ไม่ได้จงใจทิ้งฟ้อง ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งคำร้องดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2535 ว่าเมื่อโจทก์ได้ลงชื่อในท้ายคำร้องทราบคำสั่งศาลชั้นต้นในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งของศาลในวันนั้นแล้ว ให้ยกคำร้องโจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2535ศาลฎีกาเห็นว่า ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์นั้น ศาลชั้นต้นมีอำนาจเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีดังกล่าวเสียได้หากมีเหตุผลสมควร ดังนั้น กรณีจึงต้องถือว่ากำหนดระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2535 อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์ เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์ในวันที่ 8 เมษายน 2535 จึงไม่พ้นกำหนด 1 เดือน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์โจทก์เป็นอุทธรณ์ที่ยื่นพ้นกำหนด1 เดือน และไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย และศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ต่อไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีกที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มิได้จงใจทิ้งฟ้อง และคำสั่งยกคำร้องของศาลชั้นต้นไม่ชอบ นั้น พิเคราะห์แล้ว ได้ความว่าเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2535 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขอให้สืบพยานโจทก์ต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันนั้นว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การนัดสืบพยานโจทก์ หมายแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1และทนายจำเลยที่ 2 ทราบให้โจทก์นำส่งหมายมาก่อน7 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฟ้อง วันที่ 9 มกราคม 2535โจทก์ได้วางเงินค่านำหมายแก่เจ้าพนักงานกรมบังคับคดีเพื่อจัดการส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2วันที่ 17 มกราคม 2535 มีการส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์แก่จำเลยที่ 1 แล้วโดยวิธีปิดหมาย ต่อมาวันที่ 27 มกราคม 2535 เจ้าพนักงานกรมบังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นว่าล่วงเลยกำหนดการนำส่งหมายแล้วโจทก์หรือผู้แทนโจทก์ไม่มาเสียค่าธรรมเนียมในการส่ง วันรุ่งขึ้นศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ดังนี้ เห็นว่าเมื่อปรากฏว่าโจทก์วางเงินค่าธรรมเนียมการนำส่งหมายแก่จำเลยที่ 2 ถือได้ว่าเป็นการวางเงินค่าธรรมเนียมการนำส่งหมายแก่ทนายจำเลยที่ 2 ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วการที่เจ้าพนักงานกรมบังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์หรือผู้แทนโจทก์ไม่มาเสียค่าธรรมเนียมในการส่งหมายซึ่งหมายถึงค่าธรรมเนียมการส่งหมายแก่จำเลยที่ 2จึงเป็นรายงานที่ไม่ถูกต้อง กรณียังไม่อาจถือได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีตามคำสั่งของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2 จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
พิพากษากลับ ให้โจทก์จัดการนำส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยที่ 2 ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาเฉพาะคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2ต่อไป

Share