แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การพิจารณาคดีล้มละลายต้องได้ความจริงตามมาตรา 9ศาลจึงมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด ดังนั้น แม้คู่ความมิได้โต้เถียงว่าหนี้ที่โจทก์ฟ้องกำหนดจำนวนแน่นอนได้หรือไม่ก็ตามศาลย่อมยกเรื่องดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยเองได้ มูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ล้มละลายเป็นมูลหนี้ส่งมอบเครื่องยนต์เรือคืนเพราะผิดสัญญาเช่าซื้อและสัญญาเลิกกันโจทก์ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในเครื่องยนต์เรือและมีสิทธิติดตามเอาคืนหากคืนไม่ได้จึงจะใช้ราคา เมื่อปรากฏว่าจำเลยยังครอบครองและใช้ประโยชน์เครื่องยนต์เรือดังกล่าวอยู่ และอยู่ในสภาพที่สามารถบังคับให้จำเลยคืนเครื่องยนต์เรือได้ แม้โจทก์จะนำสืบว่าได้ติดตามเพื่อยึดเครื่องยนต์เรือคืน แต่จำเลยมีเรือหลายลำไม่ทราบว่าอยู่ในเรือลำใด จึงไม่สามารถยึดคืนได้ก็หาใช่ว่าการคืนเครื่องยนต์เรือไม่สามารถกระทำได้จนต้องบังคับให้ใช้ราคาแทนอย่างเดียวไม่ โจทก์ย่อมฟ้องร้องโดยอาศัยอำนาจศาลบังคับให้จำเลยคืนเครื่องยนต์เรือได้ และหากบังคับได้เช่นนี้ หนี้ค่าเครื่องยนต์เรือก็ไม่ใช่หนี้ที่จะบังคับเอาแก่จำเลยได้อีกทั้งฟ้องโจทก์ไม่มีหนี้จำนวนอื่น คงมีแต่เครื่องยนต์เรือเท่านั้นเมื่อหนี้ส่งมอบเครื่องยนต์เรือคืนยังอยู่ในสภาพที่อาจบังคับกันได้จึงไม่แน่นอนว่าหนี้ที่จะบังคับให้ใช้ราคาแทนการส่งมอบเครื่องยนต์เรือจะมีหรือไม่ หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจึงยังไม่อาจกำหนดจำนวนได้แน่นอนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9(3) โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 14 กำหนดให้ศาลพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 ดังนั้นจึงเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยก่อนว่า หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนหรือไม่ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 9(3) ในประเด็นนี้ แม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นโต้เถียงเป็นประเด็นขึ้นมาก็ตาม แต่กฎหมายกำหนดให้ศาลพิจารณาเอาความจริงศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ และเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าซื้อเครื่องยนต์เรือไปจากโจทก์ แล้วผิดนัดไม่ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาถึง 4 งวด สัญญาจึงเลิกกัน หลังจากนั้นโจทก์ได้ติดตามทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนจากจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1ไม่นำพาต่อการส่งมอบคืน กลับครอบครองและใช้ประโยชน์ตลอดมาดังนั้นจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้เช่าซื้อจึงมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์สินที่เช่าซื้อในสภาพสมบูรณ์หรือมิฉะนั้นต้องชดใช้ราคาทรัพย์สินที่เช่าซื้อเป็นเงิน 3,318,750 บาท แก่โจทก์ จากคำฟ้องดังกล่าวมูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยขอให้ล้มละลาย จึงเป็นมูลหนี้ส่งมอบทรัพย์สินคืน กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อเครื่องยนต์เรือไปจากโจทก์ผิดสัญญาเช่าซื้อและสัญญาเลิกกันโจทก์ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในเครื่องยนต์เรือที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อไปมีสิทธิติดตามเอาคืนจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องส่งคืนเครื่องยนต์เรือดังกล่าว หากคืนไม่ได้จึงจะใช้ราคาเมื่อความปรากฏจากคำฟ้องนั้นเองว่า จำเลยที่ 1 ยังครอบครองและใช้ประโยชน์เครื่องยนต์เรืออยู่ แสดงว่าเครื่องยนต์เรือยังคงมีอยู่และอยู่ในสภาพที่สามารถบังคับให้จำเลยที่ 1 คืนเครื่องยนต์เรือได้ แม้โจทก์จะนำสืบว่า ได้ติดตามเพื่อยึดเครื่องยนต์เรือคืน แต่จำเลยมีเรือหลายลำ ไม่ทราบว่าเครื่องยนต์เรือที่เช่าซื้ออยู่ในเรือลำใด จึงไม่สามารถยึดคืนได้ ก็หาใช่ว่าการคืนเครื่องยนต์เรือไม่สามารถกระทำได้จนต้องบังคับให้ใช้ราคาแทนอย่างเดียวไม่ โจทก์ย่อมฟ้องร้องโดยอาศัยอำนาจศาลบังคับให้จำเลยที่ 1 คืนเครื่องยนต์เรือดังกล่าวแล้วได้ และหากบังคับกันได้เช่นนี้ หนี้ค่าเครื่องยนต์เรือจำนวน 3,318,750 บาท ก็ไม่ใช่หนี้ที่จะบังคับเอาแก่จำเลยที่ 1 ได้อีก ทั้งโจทก์ก็มิได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่ามีหนี้จำนวนอื่นที่จะเรียกร้องกันได้นอกเหนือจากค่าเครื่องยนต์เรือ คงมีแต่หนี้คืนเครื่องยนต์เรือ หากคืนไม่ได้จึงให้ใช้ราคาเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อหนี้ส่งมอบเครื่องยนต์เรือคืนยังอยู่ในสภาพที่อาจบังคับกันได้ จึงไม่แน่นอนว่าหนี้ที่จะบังคับให้ใช้ราคาแทนการส่งมอบเครื่องยนต์เรือจะมีหรือไม่ หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจึงยังไม่อาจกำหนดจำนวนได้แน่นอน โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ยกฟ้องฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์