คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2532/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยรับเงินและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมด้วย ตึกแถวให้แก่โจทก์ จำเลยถึงแก่กรรมในระหว่างการบังคับคดี หน้าที่และ ความรับผิดย่อมตกทอดแก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599,1600ไม่ใช่เป็นเรื่องคดีค้างพิจารณาอันจะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42,44 ดังนั้นศาลชั้นต้น จึงอาจออกคำบังคับแก่ผู้จัดการมรดกของจำเลยได้โดยไม่ต้อง ออกหมายเรียกหรือมีคำสั่งให้ผู้จัดการมรดกของจำเลยเข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยเสียก่อนแต่อย่างใด
การที่โจทก์ขอให้บังคับคดีหลังจากคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว 7 ปีเศษ เป็นการขอให้บังคับคดีภายในกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยขอปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ก่อนโจทก์แถลงขอให้ออกคำบังคับ โจทก์ย่อมมีสิทธิกระทำได้โดยไม่ต้องให้ผลประโยชน์หรือดอกเบี้ยแก่จำเลยเพราะคำพิพากษามิได้ กล่าวไว้เช่นนั้น

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยโอนตึกแถวและที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย ศาลฎีกาพิพากษาให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น ให้จำเลยรับเงินที่ค้างชำระ 45,000 บาท กับค่าเสียหายและค่าโอนกรรมสิทธิ์ 15,000 บาท รวม 60,000 บาทจากโจทก์ ให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน พร้อมด้วยตึกแถวเลขที่ 282 และ 284 ให้แก่โจทก์หรือบุตรของโจทก์ ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดพระนคร ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2515 ต่อมาจำเลยถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2521 ครั้นวันที่ 15 มีนาคม 2522 ศาลจังหวัดสมุทรปราการได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้พลตรีบัลลังก์และนางสมใจเป็นผู้จัดการมรดกของจำเลย โจทก์ได้ยื่นคำแถลงลงวันที่ 9 เมษายน 2522 ขอให้ออกคำบังคับแก่ผู้จัดการมรดกของจำเลย ศาลแพ่งสั่งตามที่โจทก์ขอ

ผู้จัดการมรดกของจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นว่า ศาลชั้นต้นต้องมีหมายเรียกผู้จัดการมรดกของจำเลยเข้ามาเป็นคู่ความเสียก่อนแล้วจึงส่งคำบังคับให้ การที่ศาลชั้นต้นไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนดังกล่าวถือว่าเป็นการไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนคำบังคับของศาลชั้นต้น ส่วนเรื่องการบังคับให้ผู้จัดการมรดกของจำเลยโอนตึกแถวและที่ดินให้โจทก์นั้น โจทก์ขอให้ออกคำบังคับหลังจากศาลฎีกาพิพากษาเป็นเวลาหลายปี ค่าของเงินตกต่ำมาก กองมรดกของจำเลยควรได้ประโยชน์จากโจทก์บ้าง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้จัดการมรดกของจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วและจำเลยถึงแก่กรรมในระหว่างการบังคับคดีหน้าที่และความรับผิดย่อมตกทอดแก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599, 1600 ไม่ใช่เป็นเรื่องคดีค้างพิจารณาอันจะต้องปฏิบัติตามมาตรา 42, 44 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ดังนั้น ศาลชั้นต้นจึงอาจออกคำบังคับแก่ผู้จัดการมรดกของจำเลยได้โดยไม่ต้องออกหมายเรียกหรือมีคำสั่งให้ผู้จัดการมรดกของจำเลยเข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยเสียก่อนแต่อย่างใด

ปัญหาต่อไปมีว่า การที่โจทก์ขอให้บังคับคดีหลังจากคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว 7 ปีเศษ โจทก์จะต้องให้ผลประโยชน์หรือดอกเบี้ยแก่จำเลยหรือไม่ ตามมาตรา 271 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง บัญญัติไว้ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยขอปฏิบัติการชำระหนี้โอนกรรมสิทธิ์พิพาทให้โจทก์ก่อนโจทก์แถลงขอให้ออกคำบังคับ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้บังคับคดีได้ภายในกำหนดดังกล่าวโดยไม่ต้องให้ผลประโยชน์หรือดอกเบี้ยแก่จำเลยแต่อย่างใด เพราะคำพิพากษามิได้กล่าวไว้

พิพากษายืน โจทก์เรียงคำแก้ฎีกาเอง จึงไม่ต้องกำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้แก่โจทก์

Share