คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 753/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้อาศัยออกจากที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ไว้โดยชัดแจ้งว่าโจทก์ตกลงขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินงวดแรกให้โจทก์แล้ว ส่วนที่เหลือตกลงจะชำระให้เมื่อโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้จำเลยที่ 1 ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องคำให้การแล้ว กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า โจทก์ตกลงขายที่พิพาทให้แก่จำเลยโดยชำระราคาบางส่วนแล้วจริงหรือไม่ จึงเป็นการกำหนดประเด็นอย่างกว้าง ๆ ตามคำให้การของจำเลย ซึ่งย่อมรวมถึงการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ชำระราคาบางส่วน และที่เหลือเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ อันเป็นลักษณะของสัญญาจะซื้อจะขายนั่นเองการที่จำเลยทั้งสองนำสืบตามคำให้การและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองอยู่ในที่พิพาทโดยสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขาย จึงหาเป็นการนำสืบและวินิจฉัยนอกประเด็นไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองได้เข้ามาอาศัยปลูกบ้านหลังหนึ่งในที่ดินดังกล่าวของโจทก์บางส่วนโดยตกลงว่าจะขออยู่อาศัยเพียง 2-3 ปี ต่อมา กำหนดเวลาดังกล่าวล่วงเลยมานานแล้ว โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไป แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหาย ที่ดินพิพาทหากโจทก์ให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าอย่างต่ำเดือนละ 200 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายออกจากที่ดินของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไปกับให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 200 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ตกลงขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1ในราคา 20,000 บาท จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์แล้ว 14,000 บาทส่วนที่เหลือตกลงจะชำระเมื่อโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ จำเลยปลูกบ้านในที่ดินพิพาทโดยความยินยอมของโจทก์ ต่อมาโจทก์แจ้งจะขอเงินเพิ่มจากส่วนที่ยังค้างชำระเป็น 24,000 บาท และให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรังวัดแบ่งแยกที่ดิน เมื่อจำเลยที่ 1ไม่ยินยอม โจทก์จึงนำคดีมาฟ้อง จำเลยทั้งสองไม่ได้ขออาศัยโจทก์อยู่ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องและคำให้การแล้ว คดีมีประเด็นพิพาทว่า
(1) โจทก์ให้จำเลยทั้งสองปลูกบ้านอาศัยในที่ดินพิพาทนี้หรือโจทก์ตกลงขายที่พิพาทให้แก่จำเลยโดยชำระราคาบางส่วนแล้วจริงหรือไม่
(2) โจทก์เสียหายหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์หรือไม่ แต่จำเลยกลับนำสืบว่ามีการตกลงจะซื้อขายมีการชำระหนี้บางส่วน และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นสัญญาจะซื้อจะขายอันเป็นการนำสืบต่อสู้และวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น เห็นว่าคดีนี้จำเลยให้การต่อสู้ไว้โดยชัดแจ้งว่าโจทก์ตกลงขายดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 ในราคา 20,000 บาท จำเลยที่ 1ได้ชำระเงินงวดแรกให้โจทก์ 14,000 บาท ส่วนที่เหลือตกลงจะชำระให้เมื่อโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้จำเลยที่ 1 ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องคำให้การแล้วกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าโจทก์ตกลงขายที่พิพาทให้แก่จำเลยโดยชำระราคาบางส่วนแล้วจริงหรือไม่จึงเป็นการกำหนดประเด็นอย่างกว้าง ๆ ตามคำให้การของจำเลยซึ่งย่อมรวมถึงการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ชำระราคาบางส่วนและที่เหลือเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ อันเป็นลักษณะของสัญญาจะซื้อจะขายนั่นเอง การที่จำเลยทั้งสองนำสืบตามคำให้การและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองอยู่ในที่พิพาทโดยสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายจึงหาเป็นการนำสืบและวินิจฉัยนอกประเด็นไม่
พิพากษายืน.

Share