คำสั่งคำร้องที่ 1704/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงแรกไม่เกิน 5 ปีกระทงที่สองไม่เกิน 1 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 มาตรา 219 ฯลฯ
จำเลยที่ 1 อ้างว่าฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย แต่เนื้อหาสาระสำคัญในฎีกา เป็นฎีกาเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่าการวินิจฉัยและรับฟังพยานหลักฐานของศาลผิดไปจากข้อเท็จจริงที่นำสืบในสำนวน ชอบหรือไม่หาเป็นฎีกาเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลไม่ นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ยังฎีกาอีกว่า การกระทำของจำเลยที่ 1ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง เพราะจำเลยได้จัดส่งผู้เสียหายทั้งสองไปรออยู่เพื่อไปประเทศมาเลเซียจริง แต่ผู้เสียหายเห็นว่าหากได้งานทำ จะได้ค่าแรงต่ำ จึงพากันกลับกรุงเทพมหานครเองจึงหามีการหลอกลวงไม่ เพราะขาดองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงและปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่นี้ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ก็ยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ซึ่งศาลชั้นต้นหาได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยไม่โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 เพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 วรรคแรก,83 กระทงหนึ่ง จำคุก 5 ปี และมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7,27 อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 1 เดือน รวมจำคุก 5 ปี 1 เดือน ฯลฯ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรก ให้จำคุก 5 ปี และมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7,27อีกกระทงหนึ่งให้จำคุก 1 เดือน รวม 2 กระทงเป็นจำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 5 ปี 1 เดือน และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงิน 22,000 บาทแก่นายเอี่ยมไชยสิงห์และคืนเงิน15,000บาทแก่นายสมจิตรไชยชาติ ผู้เสียหายด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 97)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 101)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงแรกกำหนด 5 ปี กระทงที่สองกำหนด 1 เดือนคดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 และมาตรา 219 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 ฎีกาว่าการวินิจฉัยและรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ผิดไปจากข้อเท็จจริงที่นำสืบในสำนวน จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย เห็นว่าข้อความในฎีกาของจำเลยที่ 1 ทั้งหมดเป็นการคัดค้านการใช้ดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสอง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คำร้องข้อต่อไปของจำเลยที่ 1 กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิดตามฟ้องเพราะจำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาหลอกลวงผู้เสียหายแต่อย่างใด เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1ผิดสัญญาไม่ปฏิบัติชำระหนี้ทางแพ่งเท่านั้น จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย เห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้วฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้อง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอีกเช่นกัน ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 นั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1

Share