แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1649มิได้บัญญัติว่าทางจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยตรงความมุ่งหมายของกฎหมายสำคัญอยู่ที่ให้ที่ดินถูกล้อมมีทางออกถึงทางสาธารณะได้เท่านั้นดังนั้นการขอเปิดทางจำเป็นปลายทางหาจำต้องติดทางสาธารณะเสมอไปไม่เมื่อโจทก์สามารถใช้ทางพิพาทเข้าออกสู่ที่ดินของกรมชลประทานแล้วใช้ที่ดินของกรมชลประทานเดินไปสู่ทางสาธารณะได้ทางพิพาทก็เป็นทางจำเป็นตามกฎหมายแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่57527 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่นและปลูกบ้านอยู่ในที่ดินดังกล่าว จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 280ตำบลพระลับ (ในเมือง) อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่นและอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองทางด้านทิศตะวันตก ส่วนที่ดินด้านอื่นของโจทก์ทั้งสองติดกับที่ดินของบุคคลอื่น การเดินทางเข้าออกระหว่างที่ดินของโจทก์ทั้งสองกับทางสาธารณะจะต้องผ่านที่ดินรอยต่อระหว่างเขตที่ดินของจำเลยกับที่ดินของนางพูนศรี ภูไชยแสงซึ่งโจทก์ทั้งสองกับบริวารใช้มาเป็นเวลา 10 ปีเศษ และจะเดินเข้าออกทางอื่นไม่ได้ โดยทางดังกล่าวมีความกว้าง 2 เมตรอยู่ในที่ดินของจำเลย 1 เมตร อยู่ในเขตที่ดินของนางพูนศรีอีก1 เมตร และมีความยาวประมาณ 15 เมตร ต่อมาเมื่อปี 2532 จำเลยล้อมรั้วทับทางนั้นส่วนหนึ่ง ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินของจำเลยตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองและบังคับให้จำเลยเปิดทางเดินกว้าง 1 เมตร ยาว 15 เมตร เพื่อให้โจทก์กับบริวารผ่านเข้าออกสู่ที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินของจำเลยดังกล่าวไม่ติดทางสาธารณะเพียงแต่ติดกับที่ดินของหน่วยราชการอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินเมื่อผ่านที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้วโจทก์ทั้งสองจึงจะออกสู่ทางสาธารณะได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เล่ม 93 หน้า 78 ทะเบียนครอบครอบเลขที่ 280ตำบลพระลับ (ในเมือง) อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่นของจำเลยด้านที่ติดกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เลขที่ 278 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่นกว้าง 1 เมตร ยาวตั้งแต่ส่วนที่ติดกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองจดที่ดินของกรมชลประทาน ตกเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 57527 ตำบลในเมืองอำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น และบริวาร
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินโฉนดเลขที่ 57527 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่นจังหวัดขอนแก่น ตามเอกสารหมาย จ.1 ที่ดินดังกล่าวทิศเหนือจดที่ดินนางบุญทัน มุงคุณ ทิศตะวันออกจดที่ดินของนายวิไลทิศใต้จดที่ดินของนางคำใส กุยบึงฉิม และทิศตะวันตกจดที่ดินของจำเลยตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่280 ตำบลพระลับ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่นตามเอกสารหมาย ล.2 และที่ดินของนางพูนศรี ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 278 ตำบลพระลับ อำเภอเมืองขอนแก่นจังหวัดขอนแก่น ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นางพูนศรีเปิดทางจำเป็นกว้าง 1 เมตร ยาว 15 เมตร ให้โจทก์ทั้งสองผ่าน
ที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อศาลพิพากษาให้ที่ดินของนางพูนศรีตกเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองกว้าง 1 เมตร ยาว 15 เมตรและคดีถึงที่สุดแล้ว ที่โจทก์ทั้งสองใช้ทางเดินเพื่อเดินและใช้รถจักรยานยนต์ผ่านเข้าออกเท่านั้น จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้ทางพิพาทอีกนั้น โจทก์นำนางเชย ภูคอนสาร เจ้าของที่ดินเดิมของโจทก์ทั้งสองและจำเลยมาเบิกความว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสองเดิมเป็นของนางเชย ต่อมาเมื่อปี 2508 นางเชยได้ขายที่ดินส่วนหนึ่งให้แก่โจทก์ทั้งสองตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.11ส่วนที่ดินที่ติดกันขายให้แก่นายเฉลียงกับนางคำแก้ว ขณะที่โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินจากนางเชยไม่มีทางออก นางเชยจึงให้โจทก์ทั้งสองเดินออกทางคันนาทางทิศตะวันตกกว้างประมาณ 2 เมตรนางเชยได้ทำเป็นทางให้โจทก์ทั้งสองออกไปสู่ทางสาธารณะจำเลยก็เบิกความตอบคำถามค้านยอมรับว่า ที่ดินทางทิศตะวันตกของจำเลยเป็นที่ดินของกรมชลประทานจะมีที่เว้นไว้ให้คนเดินซึ่งสามารถเดินไปจดถนนสาธารณะทางทิศเหนือ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสองตกอยู่ในที่ล้อมของที่ดินแปลงอื่นจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ และถัดจากทางพิพาทไปทางทิศตะวันตกมีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองการที่โจทก์ทั้งสองใช้ทางที่นางเชยเจ้าของที่ดินคนเดิมทำไว้ให้มีความกว้าง 2 เมตร ซึ่งรวมทั้งทางที่ดินของนางพูนศรีและทางพิพาทด้วย จึงไม่เกินความจำเป็นตามที่จำเลยฎีกา ที่จำเลยฎีกาว่าทางทิศตะวันตกของทางพิพาทเป็นที่ดินของหน่วยราชการอันเป็นที่ตั้งของหน่วยส่งเสริมสหกรณ์ในเขตเกษตรกรชลประทานหนองหวายและสำนักงานจัดรูปที่ดิน มิใช่ทางสาธารณประโยชน์ ทางพิพาทไม่ติดทางสาธารณะจึงไม่ใช่ทางจำเป็นนั้น จำเลยเบิกความตอบคำถามค้านรับว่าที่ดินทางทิศตะวันตกของทางพิพาทเป็นที่ดินของกรมชลประทานจะมีที่เว้นไว้ให้คนเดินซึ่งสามารถเดินไปสู่ทางสาธารณะทางทิศเหนือได้เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 มิได้บัญญัติว่าทางจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยตรง ความมุ่งหมายของกฎหมายสำคัญอยู่ที่ให้ที่ดินที่ถูกล้อมมีทางออกถึงทางสาธารณะได้เท่านั้นดังนั้น การขอเปิดทางจำเป็นปลายทางหาจำต้องติดทางสาธารณะเสมอไปไม่ เมื่อโจทก์ทั้งสองสามารถใช้ทางพิพาทเข้าออกสู่ที่ดินของกรมชลประทานแล้วใช้ที่ดินของกรมชลประทานเดินไปสู่ทางสาธารณะได้ ทางพิพาทก็เป็นทางจำเป็นตามกฎหมายแล้วที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่า ทางพิพากษาเป็นทางจำเป็นจึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน