คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 752/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

หนี้ตามคำพิพากษาส่วนที่ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนรถยนต์ ที่เช่าซื้อในสภาพใช้การได้ดีแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 145,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเป็นการกำหนดให้จำเลยทั้งสองทำการชำระหนี้ทีละอย่างก่อนหลังตามลำดับ ไม่ใช่การอันมีกำหนด พึงกระทำเพื่อชำระหนี้มีหลายอย่างอันจำเลยทั้งสองจะพึงเลือก ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 198 ดังนั้นหนี้ตามคำพิพากษาส่วนนี้ที่จำเลยทั้งสองจะต้องกระทำก่อน จึงเป็นหนี้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน อันแสดงว่าโจทก์ยังคง มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่เช่าซื้อและมีสิทธิติดตามเอาคืน จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องส่งคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อในสภาพใช้การได้ดีหากคืนไม่ได้จึงจะใช้ราคาแทน เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อยังมีอยู่ และโจทก์สามารถบังคับให้จำเลยทั้งสองคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อได้ จึงไม่แน่นอนว่าหนี้ที่จะบังคับให้ใช้ราคาแทนการส่งมอบรถยนต์ ที่เช่าซื้อจะมีหรือไม่ หนี้ตามคำพิพากษาส่วนนี้จึงเป็นหนี้ที่ ไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน แม้ข้อนำสืบของโจทก์จะมีเหตุให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวก็ตาม แต่การที่ศาลจะพิพากษาให้ จำเลยทั้งสองล้มละลาย จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ทั้งสามข้อ ตามที่บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 มิใช่ข้อใดข้อหนึ่งเพียงข้อเดียวเท่านั้น เมื่อหนี้ตาม คำพิพากษาส่วนที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนมีจำนวนน้อยกว่า 50,000 บาท และหนี้ตามคำพิพากษาส่วนอื่นไม่อาจกำหนด จำนวนได้โดยแน่นอน โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย ในหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวไม่ได้ การที่โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษายกฟ้องนั้น ต้องเสียค่าขึ้นศาลสำหรับคำฟ้องอุทธรณ์ 50 บาท ตาม พระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 179(1) ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 200 บาท ไม่ถูกต้อง ต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เรียกเก็บเกินมาให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย
จำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแพ่งคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 24879/2535ซึ่งพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 40,500 บาทและร่วมกันคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีแก่โจทก์หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 145,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาแทนกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายในหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวได้หรือไม่ เห็นว่า แม้หนี้ที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายเป็นหนี้ตามคำพิพากษาถึงที่สุดอันมีผลผูกพันคู่ความในผลของคำพิพากษานั้นก็ตาม แต่การพิจารณาคดีล้มละลาย พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 14 กำหนดให้ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 หรือมาตรา 10 จึงเห็นสมควรพิจารณาเสียก่อนว่า หนี้ตามคำพิพากษาที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยทั้งสองมีจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 บาท และหนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนหรือไม่ ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 9(2) และ (3) ในประเด็นดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า หนี้ตามคำพิพากษาส่วนที่ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 40,500 บาท แก่โจทก์ ถือได้ว่าเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน แต่หนี้ส่วนนี้แม้จะรวมกับค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความอีก 6,967.50 บาท ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสองชดใช้แก่โจทก์ก็ยังมีจำนวนน้อยกว่า 50,000 บาท สำหรับหนี้ตามคำพิพากษา ส่วนที่ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อในสภาพใช้การได้ดีแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน145,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย เป็นการกำหนดให้จำเลยทั้งสองกระทำการชำระหนี้ทีละอย่างก่อนหลังตามลำดับ ไม่ใช่การอันมีกำหนดถึงกระทำเพื่อชำระหนี้มีหลายอย่างอันจำเลยทั้งสองจะพึงเลือกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 198 ดังนั้น หนี้ตามคำพิพากษาส่วนนี้ที่จำเลยทั้งสองจะต้องกระทำก่อนจึงเป็นหนี้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน อันแสดงว่าโจทก์ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่เช่าซื้อและมีสิทธิติดตามเอาคืนจากจำเลยทั้งสองและจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องส่งคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อในสภาพใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้จึงจะใช้ราคาแทน แต่ทางนำสืบของโจทก์โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยทั้งสองไม่สามารถคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ได้ กลับปรากฏตามคำร้อง ของ จำเลยที่ 2ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2540 ว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อดังกล่าว จำเลยที่ 2กำลังให้ช่างซ่อมให้อยู่ในสภาพใช้การได้ดีและจะนำไปวางณ สำนักงานวางทรัพย์กลางโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วมิได้โต้แย้งแต่ประการใดแสดงว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อยังมีอยู่และโจทก์สามารถบังคับให้จำเลยทั้งสองคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อได้ ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้ติดตามรถยนต์ที่เช่าซื้อแล้ว แต่ไม่พบและเชื่อว่าจำเลยทั้งสองได้จำหน่ายจ่ายโอนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่บุคคลอื่นไปแล้วเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาโดยไม่ปรากฏในชั้นพิจารณา จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อหนี้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนยังอยู่ในสภาพที่อาจบังคับชำระหนี้กันได้จึงไม่แน่นอนว่าหนี้ที่จะบังคับให้ใช้ราคาแทนการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อจะมีหรือไม่ หนี้ตามคำพิพากษาส่วนนี้จึงเป็นหนี้ที่ไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน แม้ข้อนำสืบของโจทก์จะมีเหตุให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวก็ตามแต่การที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ทั้งสามข้อตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 9 มิใช่ข้อใดข้อหนึ่งเพียงข้อเดียวเท่านั้นเมื่อหนี้ตามคำพิพากษาส่วนที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนมีจำนวนน้อยกว่า 50,000 บาท และหนี้ตามคำพิพากษาส่วนอื่นไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนโจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายในหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวไม่ได้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์200 บาท ไม่ถูกต้อง โจทก์ควรเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 50 บาทนั้นเห็นว่า โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษายกฟ้องโจทก์เป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาตามคำฟ้องขอให้ล้มละลาย ต้องเสียค่าขึ้นศาลสำหรับคำฟ้องอุทธรณ์ 50 บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 179(1) ที่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 200 บาท ไม่ถูกต้อง ต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เรียกเก็บเกินมาให้แก่โจทก์”
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่เรียกเก็บเกินมา 150 บาท ให้แก่จำเลยทั้งสอง

Share