แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยฎีกาว่า สัญญาเช่าซื้อ ข้อ 9 ที่ระบุว่าเมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิก ผู้เช่าซื้อยอมชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระให้แก่ผู้เช่าซื้อจนครบถ้วน เป็นสัญญาที่เข้าลักษณะข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 จึงน่าจะถือว่าข้อสัญญาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ทำให้เช็คที่โจทก์ฟ้องไม่มีมูลหนี้ต่อกันนั้น แม้จะปรากฏว่าประเด็นข้อนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่างทั้งสอง แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึง รับวินิจฉัยให้ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 บัญญัติว่า “พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่นิติกรรมหรือสัญญาที่ทำขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ”ดังนั้นบรรดานิติกรรมหรือสัญญาที่ทำขึ้นก่อนวันที่ 15 พฤษภาคม 2541 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นการบังคับใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมฯ จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัตินี้ สัญญาเช่าซื้อทำขึ้นเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2538 ก่อนวันที่พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมฯ มีผลใช้บังคับ จึงนำพระราชบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับแก่สัญญาเช่าซื้อหาได้ไม่ สัญญาเช่าซื้อ ข้อ 9 กำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระก่อนเลิกสัญญาให้แก่โจทก์ผู้ ให้เช่าซื้อจนครบถ้วน แม้จะแตกต่างไปจากบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 วรรคสอง แต่บทบัญญัติดังกล่าวมิใช่กฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทั้งข้อสัญญาดังกล่าวมิได้มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้ง โดยกฎหมายจึงมีผลใช้บังคับระหว่างคู่สัญญาได้ เช็คที่จำเลย สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระก่อนเลิกสัญญา จึงเป็นเช็คที่มีมูลหนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 750,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้นำรถที่เช่าซื้อกลับคืนและบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าซื้อต่อไปเช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่ไม่มีมูลหนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 625,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้อง (22 กุมภาพันธ์ 2539)จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันและไม่โต้แย้งกันฟังได้ว่า จำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดเทียมจัตุรัสก่อสร้าง เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2538จำเลยในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดเทียมจัตุรัสก่อสร้างได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถขุดไฮดรอลิก 1 คัน ไปจากโจทก์ ราคา3,200,000 บาท ชำระเงินในวันทำสัญญา 200,000 บาท ส่วนที่เหลือตกลงแบ่งชำระเป็นรายเดือน เดือนละ 125,000 บาท ทุกวันที่ 24ของเดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2538 เป็นต้นไปตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถเอกสารหมาย จ.3 จำเลยชำระค่าเช่าซื้อโดยออกเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาจัตุรัส มอบให้โจทก์ไว้ 24 ฉบับ สั่งจ่ายเงินฉบับละ 125,000 บาท ลงวันที่ล่วงหน้าห่างกันฉบับละ 1 เดือน ฉบับแรกลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2538เช็ค 8 ฉบับเรียกเก็บเงินได้แต่เช็คอีก 6 ฉบับ คือเช็คพิพาทตามเอกสารหมาย จ.5, จ.7, จ.9, จ.11, จ.13 และ จ.15 ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2538 วันที่ 27 มิถุนายน 2538 วันที่ 25 กรกฎาคม 2538 วันที่ 30 สิงหาคม 2538 วันที่ 26 กันยายน 2538 และวันที่ 25 ตุลาคม 2538 ตามเอกสารหมาย จ.6, จ.8, จ.10, จ.12, จ.14 และ จ.16 ตามลำดับ วันที่ 27 กันยายน 2538 โจทก์จึงเข้าครอบครองรถที่เช่าซื้อ เช็คตามเอกสารหมาย จ.5, จ.7, จ.9, จ.11 และ จ.13 ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยรับผิดเป็นเช็คที่ถึงกำหนดก่อนวันเลิกสัญญาเช่าซื้อ
จำเลยฎีกาว่า สัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 9ที่ระบุว่า เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิก ผู้เช่าซื้อยอมชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อจนครบถ้วน เป็นสัญญาที่เข้าลักษณะข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 จึงน่าจะถือว่าข้อสัญญาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 เช็คตามที่โจทก์ฟ้องจึงไม่มีมูลหนี้ เห็นว่า ประเด็นข้อนี้แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมพ.ศ. 2540 บัญญัติว่า “พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่นิติกรรมหรือสัญญาที่ทำขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ” ดังนั้นบรรดานิติกรรมหรือสัญญาที่ทำขึ้นก่อนวันที่ 15 พฤษภาคม 2541ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นการบังคับใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัตินี้ สัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.3 ทำขึ้นเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2538 ก่อนวันที่พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมพ.ศ. 2540 มีผลใช้บังคับ จึงนำพระราชบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับแก่สัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.3 หาได้ไม่ สัญญาข้อ 9ที่กำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระก่อนเลิกสัญญาให้แก่โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อจนครบถ้วนแม้จะแตกต่างไปจากบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 วรรคสองแต่บทบัญญัติดังกล่าวมิใช่กฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนทั้งข้อสัญญาดังกล่าวมิได้มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายดังที่จำเลยฎีกา จึงมีผลใช้บังคับระหว่างคู่สัญญาได้ เช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระก่อนเลิกสัญญาจึงเป็นเช็คที่มีมูลหนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามเช็คทั้งห้าฉบับแก่โจทก์นั้นชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน