คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7503/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 2 ก่อน จากนั้นจำเลยจะฟันซ้ำ ผู้เสียหายที่ 1 จึงเข้าไปแย่งมีดกับจำเลย จำเลยถือโอกาสดึงกระเป๋าสะพายที่ไหล่ซ้ายของผู้เสียหายที่ 1 ไป ก่อนจำเลยหลบหนีผู้เสียหายทั้งสองแย่งกระเป๋าสะพายกลับมาจากจำเลยได้ การที่จำเลยดึงกระเป๋าสะพายจากไหล่ของผู้เสียหายที่ 1 ไปได้เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์สำเร็จแล้ว แม้ภายหลังผู้เสียหายทั้งสองแย่งกระเป๋าสะพายคืนมาได้ก็หาทำให้ความผิดที่สำเร็จไปแล้วกลับเป็นความผิดฐานพยายามไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 92, 335, 339, 340 ตรี, 371 เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมายและริบอาวุธมีดของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสี่ ประกอบมาตรา 340 ตรี, 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสโดยใช้ยานพาหนะจำคุก 27 ปี ฐานพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 1,000 บาท เพิ่มโทษจำเลยเฉพาะความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสโดยใช้ยานพาหนะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 หนึ่งในสาม เป็นจำคุก 36 ปี และปรับ 1,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 18 ปี และปรับ 500 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบอาวุธมีดของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสี่, 340 ตรี ประกอบมาตรา 80 ความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ โดยใช้ยานพาหนะและเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ให้จำคุก 18 ปี เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 24 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 ปี รวมโทษฐานพาอาวุธมีดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นจำคุก 12 ปี และปรับ 500 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ผู้เสียหายทั้งสองเป็นคนสัญชาติจีนเดินทางจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อมาเที่ยวประเทศไทย คนขับรถแท็กซี่ขับรถจากสนามบินสุวรรณภูมิมาส่งผู้เสียหายทั้งสองที่ไม่ใช่โรงแรมเดอะโคไทยที่จอง จากนั้นผู้เสียหายทั้งสองจึงเดินไปที่โรงแรมดังกล่าวซึ่งอยู่ห่างประมาณ 500 เมตร ขณะเดินไปได้ 200 เมตร จำเลยขี่รถจักรยานตามหลังและโดนไหล่ผู้เสียหายที่ 2 ผู้เสียหายที่ 2 คิดว่า เดินขวางทางจึงหันไปด้านข้างและขอโทษ ต่อมาจำเลยขี่รถจักรยานวกกลับมาใช้มีดสปาต้าฟันศีรษะด้านขวาของผู้เสียหายที่ 2 ลึกถึงกระโหลก เมื่อผู้เสียหายที่ 1 เข้าไปช่วยจึงถูกจำเลยใช้มีดสปาต้าฟันหลายครั้งถูกบริเวณหน้าผาก ต้นแขนขวา และแขนขวา หลังจากนั้นจำเลยดึงกระเป๋าแบบสะพายที่ผู้เสียหายที่ 1 สะพายด้านไหล่ซ้ายไปได้ ซึ่งมีทรัพย์สิน 8 รายการ แต่ผู้เสียหายที่ 1 แย่งกระเป๋ากลับมาได้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประเด็นเดียวว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์สำเร็จหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง และไม่ติดใจสืบพยานจำเลย โจทก์นำสืบพยานประกอบคำสารภาพของจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำให้การของผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 ในชั้นสอบสวน ประกอบคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ฟังได้ว่า จำเลยใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 2 ก่อน จากนั้นจำเลยจะฟันซ้ำ ผู้เสียหายที่ 1 จึงเข้าไปแย่งมีดกับจำเลย จำเลยถือโอกาสดึงกระเป๋าสะพายที่ไหล่ซ้ายของผู้เสียหายที่ 1 ไปได้แล้ว ก่อนจำเลยหลบหนีผู้เสียหายทั้งสองไปแย่งกระเป๋าสะพายจากจำเลยโดยจำเลยทิ้งกระเป๋าสะพายแล้วขี่รถจักรยานหลบหนีไปในซอย การที่จำเลยดึงกระเป๋าสะพายไปจากไหล่ผู้เสียหายที่ 1 ไปได้จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์สำเร็จแล้ว แม้ภายหลังผู้เสียหายทั้งสองเข้าไปแย่งกระเป๋าสะพายคืนมาได้ โดยจำเลยยอมทิ้งกระเป๋าแล้วขี่รถจักรยานหลบหนีไปก็หาทำให้ความผิดที่สำเร็จไปแล้วกลับเป็นความผิดฐานพยายามไม่ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยรับฟังได้เป็นที่พอใจว่าจำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share