คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530มาตรา26วรรคหนึ่งบัญญัติว่า”ในกรณีที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจในคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา25หรือในกรณีที่รัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาตามมาตรา25วรรคสองให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีหรือนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วแต่กรณี”ดังนั้นหากโจทก์ประสงค์จะฟ้องคดีต่อศาลโจทก์จะต้องยื่นคำฟ้องเสียภายใน1ปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีซึ่งตามมาตรา25วรรคสองบัญญัติว่าให้รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์แต่หากรัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยให้เสร็จสิ้นภายในเวลาดังกล่าวก็ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเสียภายใน1ปีนับแต่วันพ้นกำหนดหกสิบวันแต่วันที่รัฐมนตรีได้รับคำอุทธรณ์แต่คดีนี้รัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาตามมาตรา25วรรคสองโดยเพิ่งจะแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ให้โจทก์ทราบวันที่25มกราคม2536เป็นระยะเวลาหลังจากที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์เกือบ3ปีโจทก์จึงต้องยื่นคำฟ้องเสียภายใน1ปีนับแต่วันพ้นกำหนดเวลาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามมาตรา25วรรคสองคือต้องยื่นคำฟ้องภายในวันที่24มิถุนายน2534แต่โจทก์ยื่นคำฟ้องเมื่อวันที่28มกราคม2537อำนาจการฟ้องคดีของโจทก์จึงเป็นอันสิ้นไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน โฉนดเลขที่55917 ที่ดินของโจทก์ได้ถูกเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดินสายคลองตัน-หนองงูเห่า และทางแยกเข้าหนองงูเห่า พ.ศ. 2522 จำนวนเนื้อที่ 14 ตารางวา จำเลยที่ 1กำหนดค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนให้โจทก์ตารางละ 300 บาท โจทก์เห็นว่าไม่เป็นธรรม เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2533 โจทก์จึงยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เงินค่าทดแทน ซึ่งได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 ได้แจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์เป็นหนังสือ ลงวันที่ 28 มกราคม 2536เพิ่มค่าทดแทนให้แก่โจทก์เป็นอัตราตารางวาละ 1,000 บาท โจทก์ได้รับแจ้งเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2536 ค่าทดแทนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวต่ำกว่าความเป็นจริงไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินค่าทดแทนจำนวน 98,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ค่าทดแทนที่โจทก์ได้รับเป็นธรรมแล้วโจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 จึงขาดอายุความโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า”ในกรณีที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจในคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา 25 หรือในกรณีที่รัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 25 วรรคสอง ให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีหรือนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วแต่กรณี” ดังนั้นหากโจทก์ประสงค์จะฟ้องคดีต่อศาล โจทก์จะต้องยื่นคำฟ้องเสียภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของรัฐมนตรี ซึ่งตามมาตรา 25 วรรคสอง บัญญัติว่า ให้รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์ แต่หากรัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ก็ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเสียภายใน 1 ปี นับแต่วันพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่รัฐมนตรีได้รับคำอุทธรณ์ แต่คดีนี้รัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยคำอุทธรณ์ของโจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลา ตามมาตรา 25 วรรคสอง โดยเพิ่งจะแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ให้โจทก์ทราบเป็นหนังสือลงวันที่ 28 มกราคม 2536นับเป็นระยะเวลาหลังจากที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์เกือบ 3 ปี โจทก์จึงต้องยื่นคำฟ้องเสียภายใน 1 ปี นับแต่วันพ้นกำหนดเวลาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามมาตรา 25 วรรคสอง คือต้องยื่นคำฟ้องภายในวันที่24 มิถุนายน 2534 แต่โจทก์เพิ่งมายื่นคำฟ้องคดีนี้วันที่28 มกราคม 2537 อำนาจในการฟ้องคดีของโจทก์จึงเป็นอันสิ้นไปตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530
พิพากษายืน

Share