คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่โจทก์จำเลยตกลงกันให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นที่ว่าโจทก์หรือจำเลยสมควรเป็นผู้ปกครองบุตรทั้งสองกับประเด็นเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูโดยไม่ต้องมีการสืบพยานกันต่อไปโดยโจทก์จำเลยแถลงเรื่องฐานะและรายได้ต่อศาลเพื่อประกอบการวินิจฉัยนั้น เท่ากับคู่ความตกลงกันให้ศาลชั้นต้นชี้ขาดในประเด็นที่กล่าวหา เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดไปตามประเด็นที่ตกลงกันโดยพิจารณาตามเหตุผลที่เห็นว่าสมควรและเหมาะสม และไม่ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อเหตุผลอย่างไรแล้วก็ต้องบังคับคดีไปตามคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าว จำเลยจะโต้เถียงว่าตนเป็นผู้สมควรจะปกครองบุตรมากกว่าโจทก์หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลยเมื่อปี 2520และอยู่กินกันจนเกิดบุตรด้วยกัน 2 คน และไม่มีสินสมรส ระหว่างอยู่กินด้วยกัน จำเลยไม่ช่วยเหลือโจทก์ทำการค้าและชอบทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายโจทก์เสมอ ครั้งสุดท้ายได้ตบตีและบีบคอโจทก์แล้วออกจากบ้านไป โดยนำบุตรทั้งสองไปอยู่กับจำเลย ไม่กลับมาอยู่ร่วมกับโจทก์เป็นเวลา 4 ปีเศษแล้ว อันเป็นการประพฤติชั่วเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความอับอายอย่างร้ายแรง และจงใจทิ้งร้างโจทก์ไปเกินหนึ่งปี เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยากันอย่างร้ายแรง ขอให้พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากันโดยให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาทหากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยกับให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองโดยให้จำเลยส่งเงินเป็นค่าเลี้ยงดูบุตรทั้งสองคนละ 1,000 บาท ต่อเดือนจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะหรือจบการศึกษาชั้นสูงระดับปริญญาตรีจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยอยู่กินเป็นสามีภรรยากับโจทก์ที่บ้านบิดาโจทก์ แต่ต่อมาโจทก์ได้ไปอยู่ที่บ้านบิดาโจทก์อีกหลังหนึ่ง อ้างว่าบิดาโจทก์ต้องการบ้านหลังแรกคืน เนื่องจากไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ด้วย จำเลยจึงนำบุตรทั้งสองไปอยู่ด้วยกันที่บ้านบิดาจำเลยระหว่างอยู่กินกันมีทรัพย์สินเป็นสินสมรสเป็นจำนวนมาก จำเลยมิได้ประพฤติชั่วดังที่โจทก์อ้าง จึงไม่มีเหตุที่จะฟ้องหย่าได้ ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองโดยให้โจทก์ส่งเงินเป็นค่าเลี้ยงดูบุตรทั้งสองคนละ 1,000 บาท ต่อเดือน จนกว่าบุตรทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะหรือจบการศึกษาชั้นสูงตามที่บุตรทั้งสองประสงค์จะศึกษาต่อ โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยเคยช่วยเหลือการค้าในบ้านบิดามารดาโจทก์ และยักยอกเงินที่จำหน่ายสินค้าจนถูกจับได้หลายครั้งจำเลยและอายและคับแค้นใจจึงพาลหาเรื่องทะเลาะวิวาททำร้ายโจทก์และพาบุตรไปอยู่ด้วย ทั้งห้ามโจทก์ไปเยี่ยมบุตรและไม่ให้บุตรพบกับโจทก์ เป็นการทรมานจิตใจบุตรอย่างร้ายแรง ฟ้องแย้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้องแย้ง ในวันชี้สองสถาน โจทก์จำเลยแถลงว่ายินยอมหย่ากันโดยไม่สืบพยาน และขอให้ศาลวินิจฉัยว่าบุตรทั้งสองควรอยู่กับใคร และกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูให้ โดยต่างฝ่ายต่างแถลงเรื่องรายได้ของตนเพื่อประกอบการวินิจฉัย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่ากัน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาให้โจทก์เป็นผู้ปกครองเด็กหญิงสุพรรณิการ์บัวรักสกุล โดยให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงสุพรรณิการ์ เดือนละ 1,000 บาท นับแต่มีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าเด็กหญิงสุพรรณิการ์จะบรรลุนิติภาวะให้จำเลยเป็นผู้ปกครองเด็กชายเมธา บัวรักสกุล คำขออื่นของจำเลยให้ยกเสียจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาโดยมิได้คำนึงถึงสภาพจิตใจของบุตรทั้งสองว่ามีความผูกพันต่อโจทก์และจำเลยเพียงใด และการที่บุตรทั้งสองซึ่งเคยอยู่ร่วมกันตั้งแต่เกิดต้องพลัดพรากจากกันย่อมเกิดความรู้สึกเป็นปมด้อย หากให้บุตรทั้งสองอยู่ในความดูแลของจำเลยย่อมเกิดความอบอุ่นทางใจเพราะจำเลยเลี้ยงดูบุตรทั้งสองมาโดยตลอด จำเลยสามารถอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรทั้งสองได้ดีกว่าโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อโจทก์จำเลยตกลงกันให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นที่ว่า โจทก์หรือจำเลยสมควรเป็นผู้ปกครองบุตรทั้งสอง กับประเด็นเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดู โดยไม่ต้องมีการสืบพยานกันต่อไป โดยคู่ความแถลงเรื่องฐานะและรายได้ต่อศาลเพื่อประกอบการวินิจฉัย ดังนี้เท่ากับคู่ความตกลงกันให้ศาลชั้นต้นชี้ขาดในประเด็นที่กล่าวมาแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดไปตามประเด็นที่ตกลงกันโดยพิจารณาตามเหตุผลที่เห็นว่าสมควรและเหมาะสม และไม่ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อเหตุผลอย่างไรแล้วก็ต้องบังคับคดีไปตามคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าวจำเลยจะโต้เถียงว่าตนเป็นผู้สมควรจะปกครองบุตรมากกว่าโจทก์หาได้ไม่ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share