คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7494/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสาม ให้จำเลยทั้งสามเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มขึ้น เป็นกระบวนพิจารณาในชั้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 232 ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลชั้นต้นโดยเฉพาะที่จะต้องสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 เมื่อจำเลยทั้งสามเห็นว่าอุทธรณ์ฉบับดังกล่าวมิใช่อุทธรณ์ที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์ที่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้และไม่จำต้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสามย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้ตามนัยของ ป.วิ.พ. มาตรา 227 โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์อีกครั้งหนึ่ง และเมื่อจำเลยทั้งสามได้ใช้สิทธิดังกล่าวโดยยื่นอุทธรณ์ตามอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2545 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2545 นั้นแล้ว หากจำเลยทั้งสามประสงค์จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป จำเลยทั้งสามก็จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 234 กล่าวคือ จะต้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง และเมื่อปรากฏว่ามีกำหนดให้จำเลยทั้งสามมาทราบคำสั่งดังกล่าวในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 ถือได้ว่าจำเลยทั้งสามได้ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์นับแต่วันที่กำหนดไว้นั้นแล้ว การที่จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์โดยตรงในวันที่ 12 มีนาคม 2545 จึงเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด เป็นอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกอุทธรณ์คำสั่งฉบับดังกล่าวของจำเลยทั้งสามนั้นได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 49,952,319.51 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 40,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 มิถุนายน 2540) จนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระ ให้โจทก์นำหุ้นของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอชำระให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
ในวันที่ 28 มกราคม 2545 จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 มีคำพิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2545 ว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 200,000 บาท แต่จำเลยทั้งสามเสียค่าขึ้นศาลมาเพียง 200 บาท จึงให้จำเลยทั้งสามเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มภายใน 7 วันนับแต่ทราบคำสั่ง หากไม่นำเงินมาวางภายในกำหนด ให้ถือว่าทิ้งอุทธรณ์ โดยในอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามมีกำหนดให้จำเลยทั้งสามมาทราบคำสั่งในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2545
ต่อมาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2545 จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 168 ว่าอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามเป็นคำฟ้องอุทธรณ์ที่ขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ย่อมต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท จึงขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำสั่งของศาลชั้นต้นและกำหนดให้จำเลยทั้งสามเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ฉบับดังกล่าวเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2545 ว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 168 เป็นกรณีที่กฎหมายห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแต่อย่างเดียว เว้นแต่อุทธรณ์นั้นจะได้ยกเหตุว่าค่าฤชาธรรมเนียมมิได้กำหนดหรือคำนวณให้ถูกต้องตามกฎหมาย การที่ศาลสั่งให้จำเลยทั้งสามนำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระเพิ่มมิใช่กรณีตามมาตรา 168 ดังที่จำเลยทั้งสามกล่าวอ้างจึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสาม คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมด โดยปรากฏในอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามฉบับดังกล่าวว่ามีกำหนดให้จำเลยทั้งสามมารับทราบคำสั่งในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 และในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2545 นั้นเอง ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 28 มกราคม 2545 ของจำเลยทั้งสามว่า จำเลยทั้งสามไม่นำค่าขึ้นศาลมาวางภายในกำหนดตามที่ศาลสั่ง จึงถือว่าจำเลยทั้งสามทิ้งอุทธรณ์
ต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2545 จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 168, 223, 225 วรรคท้าย ต่อศาลอุทธรณ์โดยตรง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2545 ว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2545 ให้มาทราบคำสั่งในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งวันที่ 12 มีนาคม 2545 พ้นกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 28 มกราคม 2545 ของจำเลยทั้งสาม ให้จำเลยทั้งสามเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มขึ้นนั้น เป็นกระบวนพิจารณาในชั้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 232 ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลชั้นต้นโดยเฉพาะที่จะต้องสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 เมื่อจำเลยทั้งสามเห็นว่าอุทธรณ์ฉบับดังกล่าวของจำเลยทั้งสามมิใช่อุทธรณ์ที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์ที่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้และไม่จำต้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสามย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้ตามนัยของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์อีกครั้งหนึ่งและเมื่อจำเลยทั้งสามได้ใช้สิทธิดังกล่าวโดยยื่นอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2545 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2545 นั้นแล้ว หากจำเลยทั้งสามประสงค์จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป จำเลยทั้งสามก็จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 กล่าวคือ จะต้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง และเมื่อปรากฏว่ามีกำหนดให้จำเลยทั้งสามมาทราบคำสั่งดังกล่าวในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 ถือได้ว่าจำเลยทั้งสามได้ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์นับแต่วันที่กำหนดไว้นั้นแล้ว การที่จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์โดยตรงในวันที่ 12 มีนาคม 2545 จึงเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด เป็นอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกอุทธรณ์คำสั่งฉบับดังกล่าวของจำเลยทั้งสามนั้นเสียได้กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสามในประการอื่นต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share