แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประเด็นเรื่องสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมบ้านเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามทำสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์จริง จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ยกขึ้นอุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะยกขึ้นวินิจฉัยก็เป็นการไม่ชอบ ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกา ที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
การนำสืบถึงข้อตกลงเกี่ยวกับราคาที่ดินอีกส่วนหนึ่งตามสัญญาอีกฉบับหนึ่งนอกเหนือจากสัญญาขายที่ดิน ที่จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 โจทก์จึงนำสืบได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๗๓๑,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ลงชื่อเป็นพยานในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามฟ้อง มิใช่คู่สัญญา ทั้งภริยาของจำเลยที่ ๑ ก็มิได้ให้ความยินยอม สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินในส่วนของจำเลยที่ ๑ จึงตกเป็นโมฆะ โจทก์ทั้งสองได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มิได้โอนให้แก่จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิด ต่อโจทก์ทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามฟ้องเป็นเอกสารปลอม เพราะจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ได้ลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่า แต่โจทก์ทั้งสองได้เพิ่มเติมข้อความเอาเองซึ่งไม่เป็นความจริงและไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ การซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ตกลงราคากัน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่โจทก์ทั้งสองได้ระบุราคาซื้อขายในสัญญา ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อที่จะให้ธนาคารซึ่งโจทก์ทั้งสองดำเนินการติดต่อขอสินเชื่อให้แก่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ในจำนวนเงินเท่ากับราคาซื้อขายจริงจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์ทั้งสองทำขึ้นเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมที่แท้จริง ตกเป็นโมฆะ และโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี เพราะไม่มีข้อตกลงกัน ดอกเบี้ยที่โจทก์ทั้งสองคิดจึงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดตกเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๗๓๑,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ทั้งสองโดยกำหนดค่าทนายความ ๒๐,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นประการแรกว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมบ้านเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามทำสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์จริง จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มิได้ยกขึ้นอุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ จะยกขึ้นวินิจฉัยก็เป็นการไม่ชอบ ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค ๒ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง
ที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ฎีกาอีกว่า สัญญาซื้อขายระบุว่า ตกลงราคาซื้อขายกัน ๘๐๐,๐๐๐ บาท ผู้ขายได้รับเงินค่าที่ดินรายนี้เรียบร้อยแล้ว โจทก์ทั้งสองไม่อาจนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารได้นั้น เห็นว่า การนำสืบถึงข้อตกลงเกี่ยวกับราคาที่ดินอีกส่วนหนึ่งตามสัญญาอีกฉบับหนึ่งนอกเหนือจากสัญญาขายที่ดิน ที่จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานไม่ต้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๙๔ โจทก์จึงนำสืบได้
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๘,๐๐๐ บาท แทนโจทก์ทั้งสอง .