แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีที่จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก โจทก์ฎีกาว่าเอกสารสัญญากู้เป็นเอกสารที่ถูกต้องเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินจากโจทก์ 50,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์อัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระหนี้ทั้งสิ้นภายในวันที่ 3 ตุลาคม 2531 ครบกำหนดชำระหนี้จำเลยไม่นำเงินไปชำระแก่โจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยชำระเงิน 61,770.82 บาทให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากเงินต้น50,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์ สัญญากู้ตามฟ้องเป็นเอกสารปลอมเนื่องจากโจทก์นำสัญญากู้ที่ยังมิได้กรอกข้อความให้จำเลยลงชื่อเพื่อใช้เป็นประกันค่าจ้างแรงงานที่โจทก์นำรถไปรับจ้างไถไร่ให้แก่จำเลย จากนั้นโจทก์จึงนำสัญญากู้ฉบับดังกล่าวไปกรอกข้อความและจำนวนเงินโดยพลการ มิใช่เจตนาที่แท้จริงของโจทก์และจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยทำสัญญากู้ยืมเอกสารหมาย จ.3 กับโจทก์ พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18โจทก์ฎีกาว่าเอกสารสัญญากู้หมาย จ.3 เป็นเอกสารที่ถูกต้องเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์ไม่ชอบ”
พิพากษายกฎีกาโจทก์