คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 749/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยทำการปิดกั้นน้ำในลำห้วยซึ่งไหลไปสู่นาโจทก์ ไม่ให้ไหลไปโดยจำเลยปิดตัน ซึ่งจำเลยก็ให้การรับว่าได้ปิดกั้นจริง แต่ไม่ได้ปิดตัน ไม่ทำให้โจทก์เสียหาย เช่นนี้เห็นได้ว่าถ้าได้มีการกระทำดังโจทก์ฟ้องและโจทก์เสียหาย การกระทำของจำเลยก็เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ถ้าคดียังเถียงกันอยู่ว่า การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายหรือไม่ ซึ่งโจทก์มีหน้าที่นำสืบ เมื่อไม่มีการสืบพยานกันต่อไป ข้อเท็จจริงก็ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่อาจชนะคดีจำเลยได้
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและนัดวันฟังคำพิพากษานั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี เมื่อโจทก์เห็นว่าชอบที่จะได้สืบพยานฝ่ายตนต่อไป ก็ต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้เพื่อจะได้อุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อไป เมื่อโจทก์ไม่ได้โต้แย้งไว้ โจทก์จึงฎีกาในปัญหาข้อนี้ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกบุกรุกเข้าไปครอบครองทำนาในที่ดินสาธารณประโยชน์และได้ทำฝายหรือทำนบปิดกั้นทางน้ำไหลในลำห้วย แล้วชักน้ำเข้านาของจำเลยทำให้โจทก์และราษฎรอื่นขาดแคลนน้ำ ขอให้บังคับจำเลยเลิกการปิดกั้น
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้บุกรุกที่สาธารณประโยชน์ จำเลยมีสิทธิ์ใช้น้ำจากลำห้วยสาธารณะได้ การปิดกั้นน้ำของจำเลยได้รับอนุญาตจากนายอำเภอแล้วและไม่ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
วันนัดพิจารณา โจทก์จำเลยแถลงรับรองข้อเท็จจริงบางอย่าง แล้วโจทก์แถลงว่าจำเลยปิดกั้นลำห้วยเป็นการปิดตัน แต่จำเลยว่าไม่ได้ปิดตัน แต่ปิดด้วยวิธีบังน้ำไปใช้ โจทก์แถลงขอสืบพยาน ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยว่าได้กระทำการอันเป็นละเมิดต่อโจทก์โดยการปิดกั้นน้ำในลำห้วยซึ่งไหลไปสู่นาโจทก์ ไม่ให้ไหลไปโดยจำเลยปิดตัน ซึ่งจำเลยก็รับอยู่ว่าได้ปิดจริง แต่มิใช่ปิดตัน ไม่ทำให้โจทก์เสียหาย ย่อมเห็นได้ว่าถ้ามีการกระทำดังโจทก์และฟ้องโจทก์เสียหาย การกระทำของจำเลยก็เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ส่วนพระราชบัญญัติการชลประทานราษฎร์ พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๒๑ และ มาตรา ๓๘ นั้นเป็นบทบัญญัติอันเป็นโทษทางอาญา ไม่เกี่ยวกับการฟ้องร้องในทางแพ่ง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในคดีนี้
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นไม่ชอบที่จะสั่งให้งดสืบพยานนั้น เห็นว่าคำสั่งให้งดการสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๒๖ เมื่อโจทก์เห็นว่าชอบที่จะได้สืบพยานฝ่ายตนต่อไป ก็ต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ แต่คดีนี้ปรากฏว่าหลังจากที่ศาลได้มีคำสั่งงดสืบพยานไปจนถึงวันที่ศาลมีคำพิพากษาซึ่งโจทก์มีโอกาสที่จะโต้แย้งได้ แต่โจทก์ก็หาได้โต้แย้งไม่ โจทก์จึงฎีกาในปัญหาข้อนี้ไม่ได้ และเห็นว่าคดีนี้โจทก์จำเลยยังเถียงกันอยู่ว่า จำเลยปิดกั้นน้ำโดยปิดตันหรือว่าปิดด้วยวิธีบังน้ำไปใช้ ไม่ทำให้โจทก์เสียหาย ซึ่งในข้อนี้โจทก์มีหน้าที่นำสืบ เมื่อไม่มีการสืบพยานกันต่อไป ข้อเท็จจริงก็ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์
พิพากษายืน.

Share