คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 748/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีข่มขืนกระทำชำเรา โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความ คงมีแต่คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย ซึ่งจะรับฟังประกอบได้ก็แต่เพียงว่าผู้เสียหายได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนเช่นนั้นจริง แต่ความจริงจะเป็นอย่างไรในชั้นศาลโจทก์จะต้องมีพยานมาเบิกความต่อศาลว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงเมื่อชั้นศาลโจทก์ไม่มีพยานมาเบิกความว่าจำเลยได้กระทำผิดโดยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เช่นนี้ เพียงแต่คำให้การชั้นสอบสวนจึงยังฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ (อ้างฎีกา165/2503)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายทั้งสอง อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 276 วรรคสอง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2514)ข้อ 2, 7 ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองกระทง ๆ ละ 20 ปี รวม 40 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 26 ปี 8 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ไม่ได้ตัวนางสาวบุญปลูกและนางสาวอารีย์ผู้เสียหายทั้งสองมาเบิกความเป็นพยานต่อศาล คงมีแต่คำให้การชั้นสอบสวนของคนทั้งสองที่ให้การไว้กับร้อยตำรวจตรีสุรเชษฐ์พนักงานสอบสวนว่าถูกจำเลยกับพวกข่มขืนกระทำชำเราโดยมีร้อยตำรวจตรีสุรเชษฐ์เบิกความประกอบว่า ผู้เสียหายทั้งสองให้การไว้ชั้นสอบสวนว่าถูกจำเลยกับพวกข่มขืนกระทำชำเรา นอกจากนี้โจทก์คงมีนายสันติเบิกความว่าผู้เสียหายทั้งสองเล่าให้ฟังว่าถูกจำเลยกับพวกข่มขืนกระทำชำเรา จึงได้พาไปแจ้งความกับร้อยตำรวจตรีสุรเชษฐ์ ซึ่งจำเลยก็ปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ ศาลฎีกาเห็นว่า คำให้การชั้นสอบสวนของนางสาวบุญปลูกและนางสาวอารีย์จะรับฟังประกอบได้ก็แต่เพียงว่าคนทั้งสองได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนเช่นนั้นจริงแต่ความจริงจะเป็นอย่างไรในชั้นศาลโจทก์จะต้องมีพยานมาเบิกความต่อศาลว่าจำเลยได้กระทำผิดเมื่อชั้นศาลโจทก์ไม่มีพยานมาเบิกความต่อศาลว่าจำเลยได้กระทำผิดโดยข่มขืนกระทำชำเรานางสาวบุญปลูกและนางสาวอารีย์ เช่นนี้เพียงแต่คำให้การชั้นสอบสวนก็ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 165/2503

พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share