คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 747/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยต่างได้ครอบครองที่ดินมีโฉนดมาเป็นส่วนสัดจนต่างได้กรรมสิทธิ์แล้ว การที่จำเลยเพียงแต่ยอมให้โจทก์มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของรวมกัน เมื่อโจทก์จำเลยโอนชื่อในโฉนดรับมรดก เช่นนี้ หาได้ลบล้างการครอบครองอันแท้จริงนั้นไม่และกรณีมิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยสละสิทธิการครอบครองส่วนของตนให้โจทก์แต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งที่ดินโฉนดที่ 4698 เนื้อที่ 27 ไร่เศษให้โจทก์ 1 ใน3 ส่วน จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์มีส่วนได้ตามเนื้อที่ของตนเพียง 3 ไร่

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทโฉนดที่ 4698 ทางด้านทิศใต้เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ เป็นของโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา เมื่อศาลอุทธรณ์เชื่อตามหลักฐานว่าโจทก์ครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทมาเพียง 3 ไร่เศษ ส่วนอีก 24 ไร่จำเลยครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ส่วนของผู้ใดเท่าใดจึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ได้ความมานั้นเป็นสำคัญ เพราะในบันทึกเปรียบเทียบมรดกที่ดินก็ไม่ได้ระบุว่าทั้งสองฝ่ายตกลงแบ่งรับมรดกคนละเท่า ๆ กัน คงบันทึกไว้แต่เพียงว่ารับมรดกรวมกันเท่านั้นเอง กรณีเช่นนี้หาใช่จำเลยสละสิทธิการครอบครองส่วนของตนให้โจทก์อย่างใดไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีเหตุที่จำเลยจะต้องบอกล้างการโอนมรดกในโฉนด โดยที่ได้วินิจฉัยมาแล้วว่าตามข้อเท็จจริงคู่ความต่างครอบครองที่ดินรายนี้เป็นส่วนสัดจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว การลงชื่อในโฉนดมีกรรมสิทธิ์รวมกันย่อมไม่ลบล้างการครอบครองอันแท้จริงได้

พิพากษายืน

Share