คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7466/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา(ก)

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดี เพราะเหตุที่จำเลยที่ 2 ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องการบังคับคดีและมีคำขอให้มีการเพิกถอนการบังคับคดีในการขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งที่ 11 โดยมิได้เรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 ในกรณีเช่นนี้ ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง ได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้วว่า ให้ผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง โจทก์จึงต้องดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว จะฟ้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีเป็นคดีใหม่มิได้
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าขอให้เพิกถอนการบังคับคดีในการขายทอดตลาดทรัพย์ คำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีเดิมและจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นผู้ซื้อและผู้ขายทรัพย์จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยมิได้เรียกค่าเสียหายมาด้วยก็เป็นคำฟ้องที่เกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดี โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่ซื้อขายและการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 76233 และ 76234 แขวงคันนายาว เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร พร้อมบ้านพิพาทระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 และที่ 5 ให้ยกเลิกการขายทอดตลาดครั้งที่ 11 เสีย และให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ดำเนินการขายทอดตลาดใหม่
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ขอเลื่อนคดีด้วยเหตุป่วย 2 ครั้ง ศาลชั้นต้นอนุญาตและเลื่อนไปสืบพยานโจทก์วันที่ 6 พฤษภาคม 2536 โดยกำชับไม่ให้โจทก์เลื่อนคดีอีก ถึงวันนัด โจทก์ขอเลื่อนคดีอ้างว่าทนายโจทก์ถอนตัวกะทันหัน ไม่สามารถหาทนายความคนใหม่ได้ทัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดี หากโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้โจทก์อ้างตนเองเป็นพยาน โจทก์ไม่ยอมเบิกความ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ไม่ติดใจสืบพยาน ทนายจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 แถลงไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเป็นประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีเพราะเหตุที่จำเลยที่ 2 ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องการบังคับคดี และมีคำขอให้มีการเพิกถอนการบังคับคดีในการขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งที่ 11 โดยมิได้เรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 ในกรณีเช่นนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง ได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้วว่าให้ผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง โจทก์จึงต้องดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว จะฟ้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีเป็นคดีใหม่มิได้ ส่วนคำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีเดิมและจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นผู้ซื้อและผู้ขายทรัพย์จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี โดยมิได้เรียกค่าเสียหายมาด้วย ก็เป็นคำฟ้องที่เกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้า เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว คดีไม่ต้องวินิจฉัยปัญหาว่าโจทก์ประวิงคดีหรือไม่ ตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 อีกต่อไป คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share