คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7450/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเพียงผู้นำออกขาย เสนอขาย และมีไว้เพื่อขายซึ่งแผ่นภาพยนตร์วีดีโอซีดีที่มีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์เท่านั้นทั้งภาพยนตร์วีดีโอซีดีของกลางก็มีจำนวนเพียง 81 แผ่น ซึ่งเป็นจำนวนไม่มากนัก และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงแน่ชัดว่าการกระทำของจำเลยก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายทั้งเจ็ดมากเพียงใดการที่ศาลชั้นต้นวางโทษปรับจำเลยสูงถึง 162,000 บาท นับว่าหนักเกินไป ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ฯ นั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากอุทธรณ์ของจำเลยซึ่งโจทก์มิได้แก้อุทธรณ์โต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า จำเลยเช่าสถานที่ประกอบกิจการเป็นแผงขนาดเล็ก มิได้เป็นร้านค้าใหญ่โตแต่อย่างใดดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นวางโทษปรับจำเลย 13,000 บาท จึงหนักเกินไปเช่นกัน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเฉพาะโทษปรับในความผิดทั้งสองฐานเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่สภาพความผิดและพฤติการณ์แห่งรูปคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ละเมิดลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ซึ่งผู้เสียหายทั้งเจ็ดเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในฐานะเป็นผู้สร้างสรรค์โดยเป็นผู้ทำหรือก่อให้เกิดงานสร้างสรรค์ประเภทภาพยนตร์และได้มีการโฆษณางานครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย โดยการนำภาพยนตร์วีดีโอซีดีที่บันทึกภาพและเสียงซึ่งได้มีผู้ทำซ้ำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายทั้งเจ็ดออกขายเสนอขายและมีไว้เพื่อขายแก่บุคคลทั่วไป อันเป็นการกระทำเพื่อแสวงหากำไรในทางการค้า โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าแผ่นภาพยนตร์วีดีโอซีดีดังกล่าวเป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายทั้งเจ็ด และโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหายอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และจำเลยได้ประกอบกิจการให้เช่าแลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายภาพยนตร์วีดีโอซีดีซึ่งบันทึกภาพและเสียงภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ อันเป็นเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ โดยทำเป็นธุรกิจและได้ประโยชน์ตอบแทนจากราคาจำหน่ายวีดีโอซีดีดังกล่าว โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนประจำกรุงเทพมหานคร และไม่ใช่กรณีที่ได้รับยกเว้นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยแผ่นภาพยนตร์วีดีโอซีดีที่บันทึกเสียงและภาพซึ่งได้มีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายที่จำเลยนำออกขาย เสนอขาย และมีไว้เพื่อขายแก่บุคคลทั่วไป จึงยึดไว้เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537มาตรา 4, 6, 8, 15, 27, 28, 31, 61, 69, 70, 75, 76 พระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 6, 34ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้แผ่นภาพยนตร์วีดีโอซีดีของกลางจำนวน 81 แผ่น ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์และจ่ายเงินค่าปรับฐานละเมิดลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537มาตรา 31, 70 วรรคสอง พระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 6, 34 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้า จำคุก 3 เดือน และปรับ 162,000 บาท ฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายเทปและวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาตปรับ 13,000 บาท รวมจำคุก 3 เดือน และปรับ175,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน 15 วัน และปรับ 87,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ให้วีดีโอซีดีของกลางที่ละเมิดลิขสิทธิ์จำนวน 81 แผ่น ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์และให้จ่ายเงินค่าปรับที่ได้ชำระตามคำพิพากษาฐานละเมิดลิขสิทธิ์เป็นจำนวนกึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “…ที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษปรับในสถานเบานั้น สำหรับในความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 เห็นว่าจำเลยเป็นเพียงผู้นำออกขาย เสนอขายและมีไว้เพื่อขายซึ่งแผ่นภาพยนตร์วีดีโอซีดีที่มีผู้นำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์เท่านั้น ทั้งภาพยนตร์วีดีโอซีดีของกลางก็มีจำนวนเพียง 81 แผ่น ซึ่งเป็นจำนวนไม่มากนักและไม่ปรากฏข้อเท็จจริงแน่ชัดว่าการกระทำของจำเลยก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายทั้งเจ็ดมากเพียงใด การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวางโทษปรับจำเลยสูงถึง162,000 บาท นับว่าหนักเกินไป ส่วนในความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 นั้น ก็เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความจากอุทธรณ์ของจำเลยซึ่งโจทก์มิได้แก้อุทธรณ์โต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่าจำเลยเช่าสถานที่ประกอบกิจการเป็นแผงขนาดเล็ก มิได้เป็นร้านค้าใหญ่โตแต่อย่างใด ดังนั้น การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวางโทษปรับจำเลย 13,000 บาท จึงหนักเกินไปเช่นกัน ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นสมควรแก้ไขเฉพาะโทษปรับในความผิดทั้งสองฐานเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่สภาพความผิดและพฤติการณ์แห่งรูปคดี อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะโทษปรับ ในความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31, 70 วรรคสอง ปรับ 60,000 บาท ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 6,34 ให้ปรับ 10,000 บาท รวมโทษปรับ 70,000 บาท เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงปรับ 35,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง

Share