คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7447/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในเรื่องเดียวกันกับคดีนี้ในศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวจำเลยที่1และที่2ให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์ออกน.ส.3ก.ทับที่ดินของจำเลยขอให้เพิกถอนน.ส.3ก.ของโจทก์ส่วนจำเลยที่3ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวโจทก์ไม่เสียค่าขึ้นศาลภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา174(2)และให้สืบพยานจำเลยที่1และที่2ตามฟ้องแย้งต่อไปแล้วพิพากษาให้จำเลยที่1และที่2ชนะคดีตามฟ้องแย้งโจทก์อุทธรณ์ขณะที่คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค3โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่1และที่2เป็นคดีนี้เกี่ยวกับที่ดินแปลงเดียวกันและมีประเด็นขอให้เพิกถอนน.ส.3ก.เช่นเดียวกันแม้การทิ้งฟ้องของโจทก์ในคดีก่อนจะมีผลลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องนั้นรวมทั้งกระบวนพิจารณาอื่นๆอันมีมาต่อภายหลังยื่นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา176แต่ก็มีผลเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องของโจทก์เท่านั้นหามีผลไปถึงฟ้องแย้งของจำเลยที่1และที่2ยังคงมีอยู่ให้ศาลต้องพิจารณาต่อไปเมื่อโจทก์ยังมีฐานะเป็นคู่ความฝ่ายจำเลยตามฟ้องแย้งการที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามในเรื่องเดียวกันเข้ามาใหม่ขณะที่คดีตามฟ้องแย้งของจำเลยที่1และที่2อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค3จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา144วรรคหนึ่ง ปัญหาเรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาซึ่งเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จะไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ภาค3เห็นสมควรก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาคดีไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา246ประกอบมาตรา142(5) ศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะจำเลยที่3โดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่3แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีแต่เมื่อคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องขอให้บังคับจำเลยที่1กับที่3และจำเลยที่2กับที่3ร่วมกันเพิกถอนน.ส.3ก.ซึ่งจำเลยที่1และที่2เป็นเจ้าของในแต่ละแปลงโดยโจทก์ฟ้องจำเลยที่3ในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ออกน.ส.3ก.ทั้งสองฉบับเมื่อไม่อาจบังคับจำเลยที่1และที่2ให้เพิกถอนน.ส.3ก.ดังกล่าวได้แล้วสภาพคำขอบังคับของโจทก์อันเกี่ยวกับจำเลยที่3จึงไม่เปิดช่องที่จะบังคับตามคำขอของโจทก์ได้คดีสำหรับจำเลยที่3จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาอีกต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 กับที่ 3 เพิกถอนน.ส.3 ก. เลขที่ 2604 และให้จำเลยที่ 2 กับที่ 3เพิกถอน น.ส.3 ก. เลขที่ 2486
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนเพราะฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่าคดีโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อน พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นเฉพาะเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่คู่ความรับและไม่โต้เถียงกันว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในเรื่องเดียวกันกับคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 62/2534หมายเลขแดงที่ 679/2534 ในคดีดังกล่าวจำเลยที่ 1 และที่ 2ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ออก น.ส.3 ก.ทับที่ดินของจำเลย ขอให้เพิกถอน น.ส.3 ก. ของโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 3ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นในคดีก่อน โจทก์ไม่เสียค่าขึ้นศาลภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่า โจทก์ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) และให้สืบพยานจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามฟ้องแย้งต่อไป แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1และที่ 2 ชนะคดีตามฟ้องแย้ง โจทก์อุทธรณ์ขณะที่คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีนี้เกี่ยวกับที่ดินแปลงเดียวกันและมีประเด็นขอให้เพิกถอน น.ส.3 ก. เช่นเดียวกันศาลฎีกาเห็นว่า การทิ้งฟ้องของโจทก์ในคดีก่อนแม้จะมีผลลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องนั้น รวมทั้งกระบวนพิจารณาอื่น ๆ อันมีมาต่อภายหลังยื่นคำฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 แต่ก็มีผลเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องของโจทก์เท่านั้น หามีผลไปถึงฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งโจทก์มีฐานะเป็นจำเลยตามฟ้องแย้งด้วยไม่ ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงยังคงมีอยู่ให้ศาลต้องพิจารณาต่อไป ไม่ตกไปดังที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฎีกาและแม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176จะบัญญัติให้คำฟ้องใด ๆ ที่ได้ทิ้งแล้วอาจยื่นใหม่ได้ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ แต่เมื่อโจทก์ยังมีฐานะเป็นคู่ความฝ่ายจำเลยตามฟ้องแย้งการที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันเข้ามาใหม่ขณะที่คดีตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้วและอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3เช่นนี้ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 วรรคหนึ่ง
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 หยิบยกปัญหาเรื่องดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำขึ้นวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบ เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นแต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นสมควรก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาคดีไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 246 ประกอบมาตรา 142(5)
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 กับที่ 3 และจำเลยที่ 2 กับที่ 3 ร่วมกันเพิกถอนน.ส.3 ก. ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าของในแต่ละแปลงโดยโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ออก น.ส. 3 ก. ทั้งสองฉบับ เมื่อฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำซึ่งไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิกถอน น.ส.3 ก.ในแต่ละฉบับดังกล่าวได้แล้ว สภาพคำขอบังคับของโจทก์อันเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 จึงไม่เปิดช่องที่จะบังคับตามคำขอของโจทก์ในคดีนี้ได้ คดีสำหรับจำเลยที่ 3 จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาอีกต่อไปศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share