คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7440/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องร้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่ 1 ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา114 และระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2 และให้เพิกถอนการจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างผู้คัดค้านที่ 2 กับผู้คัดค้านที่ 3 ตามมาตรา 116 สำหรับการโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่ 1 ดังนี้ ผู้คัดค้านที่ 1มีภาระการพิสูจน์ว่าผู้คัดค้านที่ 1 รับโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน
ผู้คัดค้านที่ 1 ผู้รับโอนรับโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินจากลูกหนี้โดยรู้อยู่ว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ผู้คัดค้านที่ 1 จึงรับโอนโดยไม่สุจริต เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 114
ผู้คัดค้านที่ 2 รับโอนที่ดินพิพาทจากผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 3 รับจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากผู้คัดค้านที่ 2 โดยมิได้รับโอนหรือกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้กับลูกหนี้แต่อย่างใด ผู้คัดค้านที่ 2และที่ 3 ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลภายนอกตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483มาตรา 116 เมื่อผู้คัดค้านที่ 1 รับโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยไม่สุจริตแล้วผู้คัดค้านที่ 1 ย่อมไม่ได้สิทธิในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยชอบ จึงไม่มีสิทธิที่จะโอนทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่ผู้อื่น ผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 จะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 116 ดังกล่าวจะต้องได้ความว่าผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 รับโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย
คดีนี้แม้ข้อเท็จจริง จะได้ความว่าก่อนที่มีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายผู้คัดค้านที่ 3 รับจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากลูกหนี้ แต่ก่อนที่ผู้คัดค้านที่ 3จะรับจำนองจากผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ได้มีการชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 3และไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างแล้วทุกครั้ง การรับจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่ 3 กับระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 3 และระหว่างผู้คัดค้านที่ 2 กับผู้คัดค้านที่ 3 จึงหาใช่เป็นกรณีสืบเนื่องมาจากสัญญาจำนองเดิมเพียงแต่เป็นการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามสัญญาจำนองเดิมที่ลูกหนี้ทำกับผู้คัดค้านที่ 3 ผู้คัดค้านที่ 2 รับโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากผู้คัดค้านที่ 1และผู้คัดค้านที่ 3 รับจำนองจากผู้คัดค้านที่ 2 หลังจากมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483มาตรา 116 ไม่จำต้องวินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 สุจริต และเสียค่าตอบแทนหรือไม่
การฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใด ๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ตามมาตรา 114 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483นั้น มิใช่เป็นการเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา 113 ไม่มีบทบัญญัติกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ลูกหนี้ (จำเลย)ล้มละลายเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๓๒ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๓๒ และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ ๑๙มีนาคม ๒๕๓๓ ขณะนี้ลูกหนี้ยังไม่พ้นภาวะการล้มละลาย เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม๒๕๓๒ อันเป็นวันภายหลังที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้แล้ว ลูกหนี้ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๘๕๓ และ ๖๘๕๔ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งลูกหนี้ซื้อมาจากบริษัทอาร์ตเดคคอร์ จำกัด ให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๑ ในราคา ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และในวันเดียวกันนั้น ผู้คัดค้านที่ ๑ ได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไปจดทะเบียนจำนองไว้กับผู้คัดค้านที่ ๓ ต่อมาวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๓๓ ผู้คัดค้านที่ ๑ ได้จดทะเบียนไถ่ถอนการจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวแล้วโอนขายให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๒ในราคา ๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท และในวันเดียวกันนั้นเอง ผู้คัดค้านที่ ๒ ได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไปจดทะเบียนจำนองไว้กับผู้คัดค้านที่ ๓ การโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวของลูกหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๑ เป็นการฝ่าฝืนและต้องห้ามตามมาตรา ๑๑๔ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ เนื่องจากเป็นการโอนโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทน และการที่ผู้คัดค้านที่ ๑ โอนขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๒ แล้วผู้คัดค้านที่ ๒ นำไปจดทะเบียนจำนองไว้กับผู้คัดค้านที่ ๓ ได้กระทำขึ้นภายหลังจากโจทก์ฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๑๖ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๘๕๓ และ ๖๘๕๔ พร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่ ๑ ตามหนังสือสัญญาขายที่ดินฉบับลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม๒๕๓๒ เพิกถอนการโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวระหว่างผู้คัดค้านที่ ๑กับผู้คัดค้านที่ ๒ ตามหนังสือสัญญาขายที่ดินฉบับลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๓๓ และเพิกถอนการจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวระหว่างผู้คัดค้านที่ ๒ กับผู้คัดค้านที่ ๓ ตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินฉบับลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๓๓ และให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ให้ผู้คัดค้านทั้งสามร่วมกันชดใช้ราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเท่าราคาปัจจุบันพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของราคานับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านที่ ๑ ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ ๑ ซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากลูกหนี้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านที่ ๒ ยื่นคำคัดค้านว่า การโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างผู้คัดค้านที่ ๑ กับลูกหนี้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนและผู้คัดค้านที่ ๒ รับโอนกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินพิพาทจากผู้คัดค้านที่ ๑ โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนผู้คัดค้านที่ ๒ ไม่เคยรู้จักหรือมีนิติสัมพันธ์กับลูกหนี้มาก่อนและการร้องขอให้เพิกถอนการโอนของผู้ร้องขาดอายุความเนื่องจากยื่นคำร้องขอเพิกถอนภายหลัง ๑ ปี นับแต่วันที่รู้เหตุแห่งการเพิกถอน ขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านที่ ๓ ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ ๓ ได้พิจารณาตามขั้นตอนและวิธีปฏิบัติของธนาคารและรับจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โดยไม่ทราบว่าลูกหนี้ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลายแต่อย่างใด ผู้คัดค้านที่ ๓ เป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๖ ส่วนการกระทำก่อนหรือหลังขอให้ล้มละลายเป็นเรื่องให้อำนาจผู้ร้องที่จะต้องขอเพิกถอนต่อศาลได้หรือไม่เท่านั้น ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่๖๘๕๓ และ ๖๘๕๔ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่ ๑ ตามหนังสือสัญญาขายที่ดินฉบับลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๒ และเพิกถอนการโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวระหว่างผู้คัดค้านที่ ๑ กับผู้คัดค้านที่ ๒ ตามหนังสือสัญญาขายที่ดินฉบับลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๓๓ กับเพิกถอนการจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวระหว่างผู้คัดค้านที่ ๒ กับผู้คัดค้านที่ ๓ ตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินฉบับลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๓๓ และให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ก็ให้ผู้คัดค้านทั้งสามร่วมกันใช้ราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเท่าราคาปัจจุบันกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของราคาทรัพย์นับแต่วันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่ว่า หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ให้ผู้คัดค้านทั้งสามร่วมกันใช้ราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
ผู้คัดค้านทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องลูกหนี้ต่อศาลชั้นต้นขอให้เป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่๒๗ กรกฎาคม ๒๕๓๒ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด เมื่อวันที่ ๒๘สิงหาคม ๒๕๓๒ และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๓๓เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๒ ลูกหนี้ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่๖๘๕๓ และ ๖๘๕๔ พร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๑ ซึ่งเป็นการโอนขายภายหลังโจทก์ทั้งสอง ฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายแล้ว
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสามว่า ผู้ร้องมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินดังกล่าวระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่ ๑ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๔ และระหว่างผู้คัดค้านที่ ๑ กับผู้คัดค้านที่ ๒ และเพิกถอนการจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างผู้คัดค้านที่ ๒ กับผู้คัดค้านที่ ๓ ตามมาตรา ๑๑๖ หรือไม่สำหรับการโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่ ๑ นั้นผู้คัดค้านที่ ๑ มีภาระการพิสูจน์ว่าผู้คัดค้านที่ ๑ รับโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ซึ่งในปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วฟังว่าผู้คัดค้านที่ ๑ ผู้รับโอนรับโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินดังกล่าวจากลูกหนี้โดยรู้อยู่ว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ผู้คัดค้านที่ ๑ จึงรับโอนโดยไม่สุจริต ผู้ร้องมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๔ ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ ๑ โอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๒ และผู้คัดค้านที่ ๒ จำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้กับผู้คัดค้านที่ ๓ นั้น ผู้คัดค้านที่ ๒ รับโอนที่ดินพิพาทจากผู้คัดค้านที่ ๑ และผู้คัดค้านที่ ๓ รับจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากผู้คัดค้านที่ ๒ มิได้รับโอนหรือกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้กับลูกหนี้แต่อย่างใด ผู้คัดค้านที่ ๒ และที่ ๓ ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลภายนอกตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๖ เมื่อรับฟังว่าผู้คัดค้านที่ ๑รับโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยไม่สุจริตแล้ว ผู้คัดค้านที่ ๑ ย่อมไม่ได้สิทธิในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยชอบ จึงไม่มีสิทธิที่จะโอนทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่ผู้อื่น ผู้คัดค้านที่ ๒ และที่ ๓ จะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๑๖ ดังกล่าวจะต้องได้ความว่าผู้คัดค้านที่ ๒ และที่ ๓ รับโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย คดีนี้แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่าก่อนที่มีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย ผู้คัดค้านที่ ๓ รับจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากลูกหนี้ ต่อมาหลังจากวันที่มีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายแล้วผู้คัดค้านที่ ๓ ได้รับจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากผู้คัดค้านที่ ๑ และผู้คัดค้านที่ ๒ ตามลำดับ แต่ก่อนที่ผู้คัดค้านที่ ๓ จะรับจำนองจากผู้คัดค้านที่ ๑และผู้คัดค้านที่ ๒ ได้มีการชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๓ และไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างแล้วทุกครั้ง การรับจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่ ๓ กับระหว่างผู้คัดค้านที่ ๑ กับผู้คัดค้านที่ ๓ และระหว่างผู้คัดค้านที่ ๒ กับผู้คัดค้านที่ ๓ จึงหาใช่เป็นกรณีสืบเนื่องมาจากสัญญาจำนองเดิมหรือเพียงเป็นการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามสัญญาจำนองเดิมที่ลูกหนี้ทำกับผู้คัดค้านที่ ๓ การที่ผู้คัดค้านที่ ๒ รับโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากผู้คัดค้านที่ ๑ และผู้คัดค้านที่ ๓ รับจำนองจากผู้คัดค้านที่ ๒ หลังจากมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย ผู้คัดค้านที่ ๒ และที่ ๓ จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๖
ที่ผู้คัดค้านที่ ๒ ฎีกาว่า คดีผู้ร้องขาดอายุความฟ้องร้องนั้นเห็นว่า การฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ตามมาตรา ๑๑๔ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ นั้นมิใช่เป็นการเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา ๑๑๓ ไม่มีบทบัญญัติกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๙๓/๓๐
พิพากษายืน.

Share