แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่าได้แบ่งที่ดินกับจำเลยเป็นสัดส่วนแน่นอนและต่างได้ครอบครองส่วนที่แบ่งกันมาเกิน 10 ปีแล้วนั้นถือว่าผู้ร้องอ้างเจตนาได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์++ทางอื่นนอกจากนิติกรรมซึ่งโดย ม.1299 วรรค 2 สิทธิของผู้ได้มาคือผู้ร้องหากยังมิได้จดทะเบียนแล้วจะยก++เป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกคือโจทก์ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วคือรับจำนองที่ดินตามโฉนดนี้ในส่วนของจำเลยไว้โดยมิได้เจาะจงว่าเป็นส่วนไหน ตอนใด หาได้ไม่
ดังนั้นเมื่อได้ความว่าโจทก์เจ้าหนี้จำนองนำยึดที่ดินมีชื่อจำเลยและผู้ร้องเพื่อชำระหนี้ การที่ผู้ร้องร้องคัดค้านว่าที่ดินเป็นของผู้ร้องครึ่งหนึ่งและผู้ร้องกับจำเลยได้แบ่งที่ดินกันครอบครองเป็นสัดส่วนแน่นอนเกินกว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องจึงขอให้ขายที่ดินที่ยึดมาเฉพาะส่วนของจำเลยนั้น เมื่อข้ออ้างการแบ่งทรัพย์ของผู้ร้องจะยกขึ้นใช้ยันโจทก์ไม่ได้แล้ว ต้องถือว่ากรรมสิทธิของจำเลยผู้ถูกยึดทรัพย์ย่อมครอบไปเหนือที่ดินทั้งหมดและการที่ผู้ร้องร้องขอให้ขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยก็ตาม ก็มีผลเท่ากับขอให้ปล่อยทรัพย์ตาม ป.วิ.แพ่ง ม.288 ผู้ร้องจะต้องอ้างว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษามิใช่เจ้าของทรัพย์ที่ยึด ผู้ร้องจึงดำเนินคดี+างร้องขัดทรัพย์ไม่ได้ โจทก์นำยึดที่ดินแปลงนี้ทั้งหมดได้ แต่ผู้ร้องย่อมมีทางที่จะเรียกขอให้แบ่งส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของรวมได้ในทางบังคับคดีตาม ป.วิ.แพ่ง ม.287 ดังนัยแห่งคำพิพากษาฎีการที่ 481/2492.
ย่อยาว
เรื่องนี้เนื่องจากคดีเดิมซึ่งโจทก์นำยึดที่ดินที่จำเลยจำนองโจทก์ไว้ตามโฉนดเลขที่ ๔๔๘๔ ต.บางกระดาน อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อชำระต้นเงินและดอกเบี้ยพร้อมด้วยค่าฤชาธรรมเนียมโดยการขายทอดตลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าที่ดินรายนี้ผู้ร้องมีชื่อเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย และผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัดมาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว ขอให้ศาลสั่งขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยกึ่งหนึ่งทางด้านตะวันออกของที่ดิน
ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของผู้ร้อง แต่ผู้ร้องมีทางที่จะขอให้แบ่งส่วนของตนได้ตามสิทธิของเจ้าของร่วมในทางบังคับคดีตามตัวอย่างฎีการที่ ๑๔๐/๒๔๙๒, ๙๘๑/๒๔๙๒
ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าคำร้องของผู้ร้องเช่นนี้จะถือเท่ากับขอให้ถอนการยึดทรัพย์ เฉพาะส่วนของผู้ร้องอันมีผลเท่ากับขอให้ปล่อยทรัพย์ ดังความเห็นของศาลชั้นต้นยังไม่ได้ ถ้าข้อเท็จจริงได้ความสมจริงดังคำร้องของผู้ร้องแล้วก็เห็นว่าผู้ร้องมีสิทธิที่จะต้องกันเอาทรัพย์ของผู้ร้องมิให้ขายไปได้
โดยอาศัย ม.๒๘๘ แห่งป.วิ.แพ่ง นั่นเอง จึงให้ยกคำร้องสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาคดีแล้วเห็นว่าที่ดินซึ่งโจทก์นำยึดนี้ จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ ร่วมอยู่กับผู้ร้องด้วย กรรมสิทธิ์ของเจ้าของร่วมแต่ละคนนั้นย่อมครอบไปเหนือทรัพย์สินทั้งหมดจนกว่าจะมีการแบ่ง การแบ่งเป็นส่วนของผู้ร้องตามที่ผู้ร้องอ้างมานั้นเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมโดย ม.๑๒๙๙ วรรค ๒ แห่ง ป.พ.พ. สิทธิของผู้ได้มาคือผู้ร้องยังมิได้จดทะเบียนจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกคือโจทก์ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิแล้วคือรับจำนองที่ดินตามโฉนดนี้ในส่วนของจำเลยไว้มิได้เจาะจงว่าเป็นส่วนไหน ตอนใด หาได้ไม่ ตาม ป.วิ.แพ่ง ม.๒๘๘ นั้นการร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ต้องเป็นกรณีที่กล่าวอ้างว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษามิใช่เจ้าของทรัพย์สินที่ยึด แม้กรณีนี้ผู้ร้องจะได้ร้องขอให้ขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยก็ตามก็เท่ากับขอให้ศาลถอนการยึดทรัพย์เฉาพะส่วนของผู้ร้องมีผลเท่ากับขอให้ปล่อยทรัพย์ตาม ป.วิ.อาญา ม.๒๘๘ เมื่อการแบ่งทรัพย์ตามที่ผู้ร้องอ้างมานั้นใช้ยันโจทก์ไม่ได้ดังที่วินิจฉัยมาแล้ว กรรมสิทธิ์ของจำเลยซึ่งเป็นเจาของรวมในที่ดินแปลงนี้ยังคงครอบไปเหนือที่ดินทั้งหมด โจทก์ย่อมนำยึดที่ดินแปลงนี้ทั้งหมดได้ ผู้ร้องจะดำเนินคดีทางร้องขัดทรัพย์ไม่ได้ แต่ผู้ร้องย่อมมีทางที่จะเรียกขอให้แบ่งส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของรวมได้ในทางการบังคับคดีตาม ป.วิ.แพ่ง ม.๒๘๗ ดังนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๘๙๑/๒๔๙๒ ระหว่างนายเคน วิเศษดอนหวาย โจทก์ นายสอน วิเศษดอนหวาย จำเลย นางพอน แน่นอุดร ผู้ร้องขัดทรัพย์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกา
จึงพิพากษากลับโดยให้ยกคำร้องของผู้ร้องยืนตามศาลชั้นต้น กับทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิในการเรียกขอให้แบ่งทรัพย์สินของผู้ร้องที่จะดำเนินการบังคับคดีจากทรัพย์สินที่ยึดนั้น.