คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7432/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่ว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้ร่วมจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำนวน 112 เม็ด ของกลางนั้น คำแก้ฎีกาดังกล่าวเป็นการขอให้ศาลฎีกาพิพากษานอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องกระทำโดยยื่นคำฟ้องฎีกา จะเพียงแต่ขอมาในคำแก้ฎีกาเช่นนี้หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 56, 58, 83 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์ บวกโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4240/2545 ของศาลจังหวัดฉะเชิงเทราเข้ากับโทษในคดีนี้ บวกโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2988/2544 ของศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6019/2545 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การรับสารภาพว่ามีเมทแอมเฟตามีน จำนวน 279 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำนวน 112 เม็ด และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้บวกโทษ ข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง, 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสาม ฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำคุกคนละ 7 ปี และปรับคนละ 600,000 บาท จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) กระทงแรกจำคุกตลอดชีวิต กระทงที่สองจำคุก 3 ปี 6 เดือน และปรับ 300,000 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) กระทงแรก จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 ตลอดชีวิต กระทงที่สองจำคุกคนละ 4 ปี 8 เดือน และปรับคนละ 400,000 บาท การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แต่เมื่อกระทงแรกศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต จึงไม่อาจรวมโทษจำคุกกระทงที่สองได้ คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 ตลอดชีวิต และปรับ 400,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต และปรับ 300,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์ เมื่อจำเลยทั้งสามได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้ว ไม่อาจบวกโทษได้อีกให้ยกคำขอในส่วนนี้
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 10 ปี และปรับ 800,000 บาท ฐานร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำคุก 7 ปี และปรับ 600,000 บาท รวมจำคุก 17 ปี ปรับ 1,400,000 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละ 8 ปี 6 เดือน และปรับคนละ 700,000 บาท บวกโทษจำคุก 3 เดือน ที่รอการลงโทษจำเลยที่ 1 ไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4240/2545 ของศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 ปี 9 เดือน และปรับ 700,000 บาท บวกโทษจำคุก 6 เดือน และ 3 เดือน ที่รอการลงโทษจำเลยที่ 3 ไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2988/2544 ของศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6019/2545 ของศาลชั้นต้น ตามลำดับ เป็นจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 8 ปี 15 เดือน และปรับ 700,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีน จำนวน 62,000 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ เห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยที่ 2 ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้เข้าไปครอบครองหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับเมทแอมเฟตามีน จำนวน 62,000 เม็ด ของกลางมาก่อนแต่อย่างใด ทั้งยังได้ความจากร้อยตำรวจเอกอำพรและสิบตำรวจโทปรีชา พยานโจทก์ผู้จับกุมว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนไขกุญแจบ้านนำพยานทั้งสองกับพวกเข้าไปตรวจค้นด้วยตนเอง นอกจากนี้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ยังพักอาศัยอยู่คนละจังหวัดกับจำเลยที่ 2 ดังนั้น แม้จำเลยที่ 1 และที่ 3 จะให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนว่าร่วมกับจำเลยที่ 2 กับพวกที่หลบหนีมีเมทแอมเฟตามีน จำนวน 62,000 เม็ด ของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ก็เป็นเพียงพยานบอกเล่า ทั้งจำเลยที่ 1 และที่ 3 ก็นำสืบต่อสู้ว่ามิได้ให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ จึงไม่อาจนำมาใช้ยันจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในชั้นพิจารณาได้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 รับสารภาพว่าร่วมกับจำเลยที่ 2 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำนวน 112 เม็ด ให้แก่นายขจรศักดิ์นั้น ก็ไม่ใช่ข้อที่จะบ่งชี้หรือแสดงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีน จำนวน 62,000 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแต่อย่างใด พยานหลักฐานโจทก์ที่นำมาสืบยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะฟังลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในข้อหานี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่จำเลยที่ 3 แก้ฎีกามาด้วยว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้ร่วมจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำนวน 112 เม็ด ของกลางนั้น เห็นว่าคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวเป็นการขอให้ศาลฎีกาพิพากษานอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องกระทำโดยยื่นคำฟ้องฎีกาจะเพียงแต่ขอมาในคำแก้ฎีกาเช่นนี้หาได้ไม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.

Share