คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 743/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยออกมาพบเด็กหญิงม. อายุ13ปีเศษที่ปากซอยนั้นจิตใจของเด็กหญิงม. กำลังอยู่ในภาวะว้าวุ้นสับสนจะกลับบ้านตามคำสั่งของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบิดาก็ไม่อยากกลับเพราะกลัวจะถูกทำโทษครั้นจะไปที่อื่นก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนจึงบอกให้จำเลยพาไปที่ใดก็ได้สุดแล้วแต่ใจของจำเลยหากจำเลยไม่พาเด็กหญิงม.ไปเด็กหญิงม. อาจจะกลับไปบ้านก็ได้อีกทั้งเมื่อโจทก์ร่วมออกมาดูเห็นจำเลยพาเด็กหญิงม. นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปดังนั้นหากจำเลยไม่พาเด็กหญิงม. ไปโจทก์ร่วมก็ต้องออกมาพบเด็กหญิงม. และพาเด็กหญิงม.กลับบ้านการที่จำเลยพาเด็กหญิงม. ไปพักอาศัยอยู่กับเพื่อนของจำเลยจึงเป็นการพรากเด็กหญิงม. ไปเสียจากอำนาจปกครองของบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา317วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายกานต์ พงษ์สุรพันธ์ บิดาของเด็กหญิงเมทิณี พงษ์สุรพันธ์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ร่วม อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก จำคุก 3 ปี และปรับ6,000 บาท คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่มากมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 3,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำผิดมาก่อน ขณะกระทำผิดอยู่ในระหว่างศึกษา และตามพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวใหม่สักครั้ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ2 เดือนต่อครั้ง เป็นเวลา 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า บ้านของโจทก์ร่วมกับบ้านของบิดามารดาจำเลยอยู่ในซอยเดียวกันโดยอยู่ตรงกันข้ามโจทก์ร่วมเคยห้ามปรามจำเลยมิให้มายุ่งเกี่ยวกับเด็กหญิงเมทิณีบุตรของโจทก์ร่วมซึ่งมีอายุ 13 ปีเศษ เมื่อวันที่8 กันยายน 2537 เวลาประมาณ 15 นาฬิกาขณะจำเลยขับรถจักรยานยนต์พาเด็กหญิงเมทิณีจากโรงเรียนเพื่อไปส่งที่บ้านของโจทก์ร่วมพบกับโจทก์ร่วมและนางสมจิตรที่ปากซอยเข้าบ้าน โจทก์ร่วมเตือนจำเลยว่าอย่ามายุ่งเกี่ยวกับเด็กหญิงเมทิณีอีก แล้วจำเลยขับรถจักรยานยนต์กลับไปบ้านของจำเลย โจทก์ร่วมบอกเด็กหญิงเมทิณีให้กลับบ้าน จากนั้นโจทก์ร่วมกับนางสมจิตรกลับไปรออยู่ที่บ้านขณะเด็กหญิงเมทิณีเดินกลับบ้านเกิดกลัวขึ้นมาว่าจะถูกทำโทษจึงไม่กล้าเข้าบ้านแล้วเดินย้อนกลับไปทางปากซอย เมื่อไปถึงปากซอยก็พบจำเลยซึ่งขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านเพื่อไปซื้อของเด็กหญิงเมทิณีบอกจำเลยว่าไม่กล้ากลับบ้าน กลัวจะถูกทำโทษให้พาไปที่ไหนก็ได้ จำเลยจึงพาเด็กหญิงเมทิณีไปพักอาศัยอยู่กับเพื่อนจำเลย ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อจำเลยออกมาพบเด็กหญิงเมทิณีที่ปากซอยนั้น จิตใจของเด็กหญิงเมทิณีกำลังอยู่ในภาวะว้าวุ้นสับสนจะกลับบ้านตามคำสั่งของโจทก์ร่วมก็ไม่อยากกลับเพราะกลัวจะถูกทำโทษ ครั้นจะไปที่อื่นก็ไม่รู้ว่าจะไฟที่ไหน จึงบอกให้จำเลยพาไปที่ใดก็ได้สุดแล้วแต่ใจของจำเลย หากจำเลยไม่พาเด็กหญิงเมทิณีไป เด็กหญิงเมทิณีอาจจะกลับไปบ้านก็ได้นอกจากนี้ยังได้ความตามคำเบิกความของโจทก์ร่วมว่า เมื่อโจทก์ร่วมออกมาดูเห็นจำเลยพาเด็กหญิงเมทิณีนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปดังนั้น หากจำเลยไม่พาเด็กหญิงเมทิณีไป โจทก์ร่วมก็ต้องออกมาพบเด็กหญิงเมทิณีและพาเด็กหญิงเมทิณีกลับบ้าน การที่จำเลยพาเด็กหญิงเมทิณีไปพักอาศัยอยู่กับเพื่อนของจำเลยจึงเป็นการพรากเด็กหญิงเมทิณีไปเสียจากอำนาจปกครองของบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก
พิพากษายืน

Share