คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7423/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พยานโจทก์ผู้จับกุมเบิกความสอดคล้องว่าได้ไปร่วมจับกุมจำเลยในซอยที่เกิดเหตุจริง แม้โจทก์จะไม่ได้นำสืบสายลับเป็นพยาน แต่ตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีที่อ้างส่งก็ปรากฏว่าได้มีการลงหมายเลขธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อทั้งสามฉบับไว้ตั้งแต่เวลา 14.15 นาฬิกา ซึ่งมีหมายเลขธนบัตรทั้งสามฉบับที่ตรวจค้นพบอยู่ในกระเป๋ากางเกงของจำเลย ตามสำเนาภาพถ่ายที่เจ้าพนักงานตำรวจถ่ายสำเนาหลังจากยึดได้จากจำเลยและจำเลยลงลายมือชื่อรับรองไว้ ทั้งเวลาที่เข้าจับกุมและตรวจค้น ธนบัตรที่ใช้ล่อซื้ออยู่ในกระเป๋ากางเกงของจำเลยซึ่งตามบันทึกการจับกุมว่าเป็นเวลา 15.40 นาฬิกา ห่างจากเวลาที่ลงหมายเลขธนบัตรในบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีไม่นาน และใกล้ ๆ กับจุดที่ตรวจค้นตัวจำเลยพบธนบัตรของกลางนั้นยังพบเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวน 6 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ใกล้เคียงบริเวณที่จำเลยยืนมีลักษณะตรงกับเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยขายให้แก่สายลับนอกจากนี้จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและนำร้อยตำรวจเอก ป. พนักงานสอบสวนไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งถ้าไม่เป็นความจริงก็คงจะไม่ยอมกระทำเช่นนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62, 89, 106

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89จำคุก 5 ปี คำรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกบุญยืน เที่ยงตรง และสิบตำรวจโทจักรพันธ์ พุทธประเสริฐ เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมเป็นพยานเบิกความว่า หลังจากเจ้าพนักงานตำรวจวางแผนจับกุมโดยถ่ายสำเนาธนบัตรฉบับละ 100 บาทจำนวน 3 ฉบับ จดหมายเลขธนบัตรลงในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีที่สถานีตำรวจเป็นหลักฐานไว้แล้ว ก็ได้ร่วมกับเจ้าพนักงานตำรวจอื่นรวม 6 คนนั่งรถยนต์เก๋งไปพบกับสายลับใกล้บริเวณที่จะล่อซื้อ ร้อยตำรวจเอกบุญยืนมอบธนบัตรดังกล่าวให้สายลับเมื่อสายลับซื้อเมทแอมเฟตามีนได้จำนวน 3 เม็ดและนำมามอบให้ แจ้งว่าซื้อจากชายอายุประมาณ 40 ปี มีหนวด สวมกางเกงขาสั้นสีเขียวขี้ม้า ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีเทามีลายจุด และผู้ขายหยิบเมทแอมเฟตามีนจากพื้นดินข้างกำแพงอู่ซ่อมรถที่อยู่ใกล้ ๆ เจ้าพนักงานตำรวจจึงเข้าไปยังจุดที่ล่อซื้อ พบจำเลยมีลักษณะตรงตามที่สายลับรายงาน ตรวจค้นตัวจำเลยพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้ออยู่ในกระเป๋ากางเกงและตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีน ห่อด้วยกระดาษซองบุหรี่อีกจำนวน 6 เม็ด อยู่ที่ข้างกำแพงอู่ซ่อมรถใกล้กับที่จำเลยยืนอยู่ จำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย ป.จ.3 จึงได้จับกุมจำเลยมากับโจทก์มีร้อยตำรวจเอกปพัฒน์ วสุธวัช พนักงานสอบสวนเป็นพยานอีกปากหนึ่งเบิกความว่า ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.1 โดยได้นำชี้ที่เกิดเหตุให้ถ่ายรูปไว้ตามบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.5 และภาพถ่ายหมาย จ.6 เห็นว่า พยานโจทก์ผู้จับกุมทั้งสองปากเบิกความสอดคล้องต้องกันไม่มีพิรุธ น่าเชื่อว่าได้ไปร่วมจับกุมจำเลยในซอยที่เกิดเหตุจริงแม้โจทก์จะไม่ได้นำสืบสายลับเป็นพยานแต่ตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย ป.จ.2 ที่อ้างส่งก็ปรากฏว่าได้มีการลงหมายเลขธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อทั้งสามฉบับไว้ตั้งแต่เวลา14.15 นาฬิกา ซึ่งมีหมายเลขธนบัตรตรงกับธนบัตรทั้งสามฉบับที่ตรวจค้นพบอยู่ในกระเป๋ากางเกงของจำเลย ดังปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายที่เจ้าพนักงานตำรวจถ่ายสำเนาหลังจากยึดได้จากจำเลยและจำเลยลงลายมือชื่อรับรองไว้ตามเอกสารหมาย ป.จ.1 ทั้งเวลาที่เข้าจับกุมและตรวจค้นพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้ออยู่ในกระเป๋ากางเกงของจำเลย ซึ่งตามบันทึกการจับกุมว่าเป็นเวลา 15.40 นาฬิกาห่างจากเวลาที่ลงหมายเลขธนบัตรในบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีไม่นาน และใกล้ ๆ กับจุดที่ตรวจค้นตัวจำเลยพบธนบัตรของกลางนั้น ตามคำยืนยันของพยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยทั้งสองปากยังปรากฏว่า พบเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวน 6 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ใกล้เคียงบริเวณที่จำเลยยืนมีลักษณะตรงกับเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยขายให้แก่สายลับ พยานชั้นจับกุมเหล่านี้ไม่มีข้อน่าระแวงสงสัยแต่อย่างใด นอกจากนี้จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและนำร้อยตำรวจเอกปพัฒน์ พนักงานสอบสวนไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งถ้าไม่เป็นความจริงก็ไม่ควรจะยอมทำเช่นนี้ด้วย ที่จำเลยเบิกความอ้างว่า เจ้าพนักงานตำรวจให้จำเลยลงลายมือชื่อในบันทึกต่าง ๆ โดยไม่ได้อ่านข้อความให้ฟัง กับให้ลงชื่อในกระดาษเปล่า และจำเลยทำท่าทางให้ถ่ายรูปตามที่เจ้าพนักงานตำรวจบอกนั้น คงมีแต่จำเลยอ้างตนเองเบิกความลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักและจำเลยไม่ได้ถามค้านพยานโจทก์ในเรื่องเหล่านี้ไว้เลยจึงไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นความจริงดังที่จำเลยกล่าวอ้าง ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share