คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7422/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การสอบสวนเป็นการรวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินการทั้งหลายอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหาเพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิด และเพื่อจะเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ ซึ่งการแจ้งข้อหาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 134 ก็เป็นขั้นตอนหนึ่งของการสอบสวนเพื่อต้องการให้ผู้ต้องหารู้ตัวก่อนว่าตนจะถูกสอบสวนในคดีอาญาเรื่องใดเท่านั้น แม้เดิมจะแจ้งข้อหาหนึ่งแต่เมื่อสอบสวนไปแล้วปรากฏว่าการกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐานอื่นก็ถือได้ว่ามีการสอบสวนในความผิดฐานดังกล่าวแล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 มีโคคาอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งโทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 69 วรรคสาม จำคุกตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปี จึงไม่จำต้องสืบพยานโจทก์ประกอบคำให้การรับสารภาพตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และเมื่อจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามฟ้องโดยสมัครใจ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์ฟ้อง แม้โคคาอีนที่จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจะมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่ถึงจำนวนถึงข้อสันนิษฐานของกฎหมาย ศาลก็ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามพฤติการณ์แห่งคดีที่ได้ความ หาได้ลงโทษจำเลยที่ 1 โดยฟังข้อสันนิษฐานของกฎหมายมาปรับใช้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 17, 69, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 ริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้แยกฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีใหม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 17 วรรคหนึ่ง, 69 วรรคสอง และวรรคสาม ลงโทษจำคุก 18 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด 9 ปี ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลย (ที่ถูก จำเลยที่ 1) มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 17 วรรคหนึ่ง, 69 วรรคสาม (ที่แก้ไขใหม่) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองว่าเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2545 จำเลยที่ 1 มีโคคาอีนจำนวน 2 ถุง คำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ 91.137 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจนั้น เห็นว่า เดิมจำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การปฏิเสธ ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การใหม่ว่าขอให้การรับสารภาพตามฟ้อง ตามคำให้การฉบับลงวันที่ 2 กรกฎาคม 2545 ศาลสอบคำให้การจำเลยที่ 1 โดยผ่านล่ามแล้ว จำเลยที่ 1 ขอให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “สอบจำเลยที่ 1 แถลงยืนยันตามนี้ สำเนาให้โจทก์” ถือว่าจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพโดยสมัครใจแล้ว ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 รับสารภาพไปเพราะความเกรงกลัวจะแพ้คดีและถูกลงโทษหนัก มิใช่รับสารภาพโดยสมัครใจนั้นฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประการต่อไปว่า พนักงานสอบสวนกล่าวหาจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่จำเลยที่ 1 กลับถูกฟ้องในความผิดฐานมีโคคาอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายนั้น เห็นว่า “การสอบสวนเป็นการรวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินการทั้งหลายอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหาเพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิดและเพื่อจะเอาตัวผู้กระทำความผิดมาฟ้องลงโทษ” ซึ่งการแจ้งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 ก็เป็นขั้นตอนหนึ่งของการสอบสวน เพื่อต้องการให้ผู้ต้องหารู้ตัวก่อนว่าตนจะถูกสอบสวนในคดีอาญาเรื่องใดเท่านั้น แม้เดิมจะแจ้งข้อหาหนึ่งแต่เมื่อสอบสวนไปแล้วปรากฏว่าการกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐานอื่น ก็ถือว่าได้มีการสอบสวนในความผิดฐานดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ 1 มีโคคาอีน คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์น้ำหนัก 91,137 กรัม ไม่ต้องด้วยข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 17 วรรคสอง ที่ให้ถือว่าจำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามฟ้องโจทก์ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 มีโคคาอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 69 วรรคสาม จำคุกตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปีจึงไม่จำต้องสืบพยานโจทก์ประกอบคำให้การรับสารภาพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และเมื่อจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามฟ้องโดยสมัครใจ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์ฟ้อง แม้โคคาอีนที่จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจะมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่ถึงจำนวนข้อสันนิษฐานของกฎหมาย ศาลล่างทั้งสองก็ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามพฤติการณ์แห่งคดีที่ได้ความ ศาลล่างทั้งสองหาได้ลงโทษจำเลยที่ 1 โดยฟังข้อสันนิษฐานของกฎหมายมาปรับใช้ไม่ คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น เมื่อพิจารณาจากปริมาณของกลางแล้ว สมควรกำหนดโทษให้เหมาะสมกับพฤติการณ์”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 10 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share