แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยตายเสียก่อนที่ศาลพิพากษานั้น เมื่อไม่มีฝ่ายใดกล่าวอ้างขึ้นมา จะถือว่าศาลได้รู้ข้อเท็จจริงนี้แล้วไม่ได้
จำเลยตายก่อนศาลพิพากษาแต่ความปรากฎต่อศาลภายหลังศาลพิพากษาแล้วนั้นคำพิพากษานั้นก็คงสมบูรณ์
ในคดีแพ่งเมื่อปรากฏต่อศาลว่า คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นดำเนินคดีหาทายาทเข้ารับมฤดกความ
ย่อยาว
คดีนี้ คงมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาฉะเพาะข้อกฎหมายว่า ศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาภายหลังจำเลยตายแล้วคำพิพากษานั้นจะใช้ได้หรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๔๒ แสดงว่า ต้องเป็นเรื่องที่ข้อเท็จจริงปรากฎต่อศาลแล้วว่า คู่ความฝ่ายใดตาย ศาลจึงจัดการตามที่บัญญัติได้ แต่คดีนี้ ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาไปแล้วภายหลังโจทก์จึงมาร้องว่า จำเลยที่ ๑ ตาย ศาลชั้นต้นก็ได้ดำเนิคดีหาทายาทเข้ามารับมฤดกความแทนที่คู่ความผู้มรณะ ก็เป็นการถูกต้องตามวิธีพิจารณาแล้ว โจทก์จะขอให้ศาลฎีกาตัดสินว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ใช้ไม่ได้เพราะตัดสินเมื่อจำเลยที่ ๑ ตายแล้วนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะไม่มีกฎหมายใดที่บัญญัติดังนั้น ความมรณะของคู่ความที่ปรากฎต่อศาลภายหลังคำพิพากษา จะเรียกว่ามรณะก่อนศาลพิพากษาคดีตามนัยมาตรา ๔๒ นี้ไม่ได้ เพราะศาลไม่อาจล่วงรู้เหตุการณ์ซึ่งบอกเหนือจากคำพะยานหลักฐานในสำนวน จึงพิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์