คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7407/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกระทำความผิดต่อ พ.ร.บ. ศุลกากร มาตรา 27 ทวิ เกี่ยวกับการช่วยรับเอาไว้ซึ่งของต้องห้ามหรือต้องจำกัดนี้ ของต้องห้ามดังกล่าวได้แก่ของซึ่งมีกฎหมายห้ามการนำเข้าหรือส่งออกไว้
ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 91) พ.ศ. 2521 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ฎ. ควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2496 ได้กำหนดว่า เลื่อยโซ่พร้อมอุปกรณ์เป็นสินค้าต้องห้ามจะนำเข้าในราชอาณาจักรมิได้ หากเจ้าพนักงานยึดเลื่อยโซ่ได้จะต้องส่งเลื่อยโซ่ ดังกล่าวให้แก่เจ้าหน้าที่ศุลกากรที่อยู่ใกล้เคียงที่สุด จากนั้นกรมศุลกากรจะทำการทำลายเครื่องเลื่อยโซ่โดยไม่มีการ นำออกมาจากจำหน่าย ดังนั้น โดยสภาพของเลื่อยโซ่จึงไม่อาจนำเข้ามาในราชอาณาจักรได้เพราะต้องห้าม ตามกฎหมายดังกล่าว แม้ต่อมาจะได้มีการนำเลื่อยโซ่ดังกล่าวออกขายทอดตลาดอันเป็นการดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ใช้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ โดยดำเนินการขายตามความใน พ.ร.บ. ป่าไม้ มาตรา 64 ทวิ แต่เนื่องจากทรัพย์ของกลางเป็นของต้องห้ามตาม พ.ร.บ. ศุลกากรกรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 120 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร ที่บัญญัติว่า เมื่อใดบทบัญญัติใน พ.ร.บ. ศุลกากรแตกต่างกับบทกฎหมายอื่นก็ให้ยกบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ. ศุลกากรใช้บังคับ เมื่อศาลสั่งริบเลื่อยโซ่ของกลางอันเป็นของต้องห้าม จึงต้องมีการจัดการให้เป็นไปตามมาตรา 25 การที่ เจ้าหน้าที่ได้นำของต้องห้ามดังกล่าวมาขายทอดตลาดโดยขัดต่อบทกฎหมาย การขายทอดตลาดจึงหาทำให้เลื่อยโซ่ซึ่งเป็นของต้องห้าม กลับเป็นของชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใดไม่
แม้เลื่อยโซ่ของกลางเป็นของต้องห้าม แต่จำเลยผู้ครอบครองทรัพย์ที่ได้จากการที่มีผู้ซื้อทรัพย์มาจากการ ขายทอดตลาด โดยจำเลยรู้ว่าทรัพย์ของกลางดังกล่าวได้มาจากการทอดตลาดโดยเปิดเผยและจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ทำให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าเลื่อยโซ่ดังกล่าวเป็นทรัพย์ที่ประชาชนครอบครองใช้สอยได้ และมิใช่ของต้องห้ามหรือของต้องจำกัด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ศุลกากร มาตรา 27 ทวิ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ ทวิ พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. ๒๔๘๙ มาตรา ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๓๒ ริบ ของกลาง กับจ่ายสินบนแก่ผู้นำจับและจ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ของกลางให้คืนแก่เจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ ฐานรับไว้ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ปรับจำเลยทั้งสองรวม ๔๔,๕๑๒ บาท (สี่หมื่นสี่พันห้าร้อยสิบสองบาท) ริบของกลาง ให้จ่ายสินบนร้อยละสามสิบ และจ่ายเงินรางวัลร้อยละยี่สิบห้าของราคาเลื่อยโซ่พร้อมบาร์และโซ่ของกลางแก่ผู้นำจับและเจ้าพนักงานผู้จับตาม พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. ๒๔๘๙ มาตรา ๗ และ ๘ ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ แต่ไม่เกิน ๑ ปี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า เลื่อยโซ่เป็นของต้องห้ามเพราะเป็นทรัพย์ที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรข้อห้ามหรือข้อจำกัดหรือไม่ โดยจำเลยอ้างว่าแม้เลื่อยโซ่พร้อมอุปกรณ์ของกลางจะเคยเป็นของที่มีผู้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้เสียภาษีและผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง แต่เมื่อ ต่อมาได้มีคำพิพากษาให้ริบในคดีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ทรัพย์ที่ถูกริบจึงตกเป็นของแผ่นดิน เมื่อมีการ นำเอาเลื่อยโซ่ของกลางออกขายทอดตลาดโดยวิธีประมูลโดยเปิดเผย จึงทำให้ทรัพย์ดังกล่าวไม่เป็นของต้องห้าม ต้องจำกัดอีกต่อไป และสามารถเปลี่ยนมือครอบครองได้นั้น เห็นว่า การกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา ๒๗ ทวิ เกี่ยวกับการช่วยรับเอาไว้ซึ่งของต้องห้ามหรือต้องจำกัดนี้ของต้องห้ามดังกล่าวได้แก่ของซึ่งมีกฎหมายห้ามการนำเข้าหรือส่งออกไว้ ได้ความตามคำเบิกความของนายศักดิ์วุฑฒิ์ วงษ์มณฑา สารวัตรศุลกากร ๗ พยานโจทก์เบิกความประกอบประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๙๑) พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชกฤษฎีกาควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๙๖ ได้กำหนดว่า เลื่อยโซ่พร้อมอุปกรณ์เป็นสินค้าต้องห้ามจะนำเข้ามาในราชอาณาจักรมิได้ หากเจ้าพนักงานยึดเลื่อยโซ่ได้จะต้องส่งเลื่อยโซ่ดังกล่าวให้แก่เจ้าหน้าที่ศุลกากรที่อยู่ใกล้เคียงที่สุด จากนั้นกรมศุลกากรจะทำการทำลายเครื่องเลื่อยโซ่โดยไม่มีการนำออกมาจำหน่าย ดังนั้น โดยสภาพของเลื่อยโซ่จึงไม่อาจนำเข้ามาในราชอาณาจักรได้เพราะต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าว แม้ต่อมาจะได้มีการนำเลื่อยโซ่ดังกล่าวออกขายทอดตลาดโดยเจ้าหน้าที่หน่วยราชการเป็น ผู้ดำเนินการ ก็เป็นการนำสินค้าต้องห้ามออกขายทอดตลาดโดยมิชอบ เนื่องจากการนำเลื่อยโซ่ออกขายทอดตลาดดังกล่าว เป็นการดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ใช้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ โดยดำเนินการขายตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา ๖๔ ทวิ แต่เนื่องจากทรัพย์ของกลางเป็นของต้องห้ามตามพระราชบัญญัติศุลกากร กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติ มาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากรที่บัญญัติว่า เมื่อใดบทบัญญัติในพระราชบัญญัติศุลกากรแตกต่างกับบทกฎหมายอื่นก็ให้ยกบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติศุลกากรใช้บังคับ ดังนั้น เลื่อยโซ่ของกลางอันเป็นของต้องห้าม เมื่อศาลสั่งริบ กรณีจึงต้องมีการจัดการให้เป็นไปตามมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร การที่เจ้าหน้าที่ได้นำของต้องห้ามดังกล่าวมาขายทอดตลาดโดยขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าว การขายทอดตลาดจึงหาทำให้เลื่อยโซ่ซึ่งเป็นของต้องห้าม กลับเป็นของชอบด้วยกฎหมายแต่ อย่างใดไม่ ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าแม้จะได้ความว่าเลื่อยโซ่ของกลางเป็นของต้องห้าม แต่การที่จำเลยผู้ครอบครองทรัพย์ที่ได้จากการที่มีผู้ซื้อทรัพย์มาจากการขายทอดตลาดดังกล่าวโดยจำเลยรู้ว่าทรัพย์ของกลางดังกล่าวได้มาจากการขายทอดตลาดโดย เปิดเผยและจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ทำให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าเลื่อยโซ่ดังกล่าวเป็นทรัพย์ที่ประชาชนครอบครอง ใช้สอยได้ และมิใช่ของต้องห้ามหรือของต้องจำกัด การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสอง ฟังขึ้นบางส่วน แต่เลื่อยโซ่พร้อมอุปกรณ์ของกลาง เป็นของต้องห้ามจึงต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ให้ริบของกลาง

Share