คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 740/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจ ไปด้วยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก แม้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 318 แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลยอันเป็นกรณีตามมาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลก็ย่อม ลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจะโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตามประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติว่าเป็นความผิดอยู่แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำการอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยได้พานางสาวนฤมล ภิรมย์ฤกษ์ผู้เสียหายอายุ 16 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยไปเพื่อการอนาจารโดยจำเลยขู่เข็ญข่มขืนใจให้ผู้เสียหายพักอาศัยอยู่ในบ้านพักของจำเลย และต่อมาจำเลยได้กระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายโดยใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำ และใช้มือลูบคลำที่นมและอวัยวะเพศของผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และจำเลยได้พรากผู้เสียหายอายุ 16 ปีผู้เยาว์ไปเสียจากความปกครองดูแลของนายมนัส ภิรมย์ฤกษ์ผู้เป็นบิดาโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย ทั้งนี้เพื่อการอนาจารและจำเลยได้หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้ที่บ้านพักของจำเลยโดยจำเลยบังคับขู่เข็ญไม่ให้ผู้เสียหายออกไปจากบ้าน เป็นเหตุให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284, 310, 318, 91
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรก, 310 วรรคแรก,318 วรรคท้าย, 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 19 ปีรู้รับผิดชอบดีแล้ว ไม่ลดมาตราส่วนโทษให้ ให้ลงโทษฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 1 ปี ฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจำคุก 3 ปี และฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังจำคุก 1 ปี รวมจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 5 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319(ที่ถูกคือมาตรา 319 วรรคแรก) ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปีส่วนข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284, 310 ให้ยกฟ้องโจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานว่าก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายได้นัดกับนางสาวอารีย์ คลายทุกข์น้องสาวของจำเลยว่าจะไปทำงานด้วยกันที่อำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลา โดยให้ไปพบกันที่ถนนหน้าบ้านเพื่อจะโดยสารรถไปในวันที่ 29 มีนาคม 2532 เวลาประมาณ 10 นาฬิกาถึงกำหนดผู้เสียหายไปตามนัดไม่พบนางสาวอารีย์ รออยู่ประมาณ30 นาที จำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์มาบอกว่าจะพาไปหานางสาวอารีย์ที่บ้านควนกุน ซึ่งเป็นบ้านพี่สาวจำเลยจึงได้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยไป แต่ไม่พบนางสาวอารีย์ผู้เสียหายขอให้จำเลยพากลับบ้าน จำเลยไม่ยอมไปส่งและบังคับห้ามมิให้กลับต้องนอนค้างอยู่ที่นั่น ระหว่างนั้นเวลาประมาณ2 นาฬิกาของวันที่ 31 มีนาคม 2532 จำเลยได้เข้ามาจับมือจะขอร่วมประเวณีแล้วใช้มือลูบคลำหน้าอกกับอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ผู้เสียหายขัดขืนต่อว่า จำเลยก็หยุดกระทำ เห็นว่าผู้เสียหายกับจำเลยอยู่ในวัยรุ่นราวเกือบคราวเดียวกันบ้านห่างกันเพียง 50 เมตร นางสาวอารีย์น้องสาวของจำเลยก็อยู่บ้านเรือนเดียวกันกับจำเลย จุดที่ผู้เสียหายนัดให้นางสาวอารีย์ไปพบเพื่อขึ้นรถไปอำเภอหาดใหญ่เป็นถนนอยู่หน้าบ้านนั้นเองหากมีการนัดกันไว้ผู้เสียหายก็น่าจะเดินไปหานางสาวอารีย์ที่บ้านได้ไม่มีความจำเป็นต้องรอคอยอยู่นานถึง 30 นาที และการที่ผู้เสียหายจะไปทำงานที่อำเภอหาดใหญ่ นายมนัส ภิรมย์ฤกษ์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นบิดาของผู้เสียหายก็เบิกความว่าผู้เสียหายได้แจ้งให้ทราบแล้วจึงมิได้เป็นการหลบซ่อนไป ควรที่จะไปหานางสาวอารีย์ ที่บ้านเพื่อไปรอขึ้นรถพร้อมกันได้ นางสาวอารีย์ไม่ได้มาเบิกความยืนยันให้เห็นเป็นความจริงว่าได้นัดกับผู้เสียหายไว้ นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของนายครบ สุดหาญ พยานจำเลยซึ่งเป็นสามีของพี่สาวจำเลยว่า ผู้เสียหายได้ไปอยู่ที่บ้านของพยานในระหว่างเกิดเหตุจริง ดังนี้กรณีจึงเชื่อได้ว่าจำเลยกับผู้เสียหายนัดพากันไปเอง พยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่อาจรับฟังได้ บ้านพี่สาวจำเลยที่ผู้เสียหายอ้างว่าถูกจำเลยบังคับให้อยู่นั้นแม้จะอยู่ในป่าแต่ก็มีบ้านคนอื่นอยู่ห่าง ๆ ซึ่งไม่น่าจะไกลกันจนเกินไป ผู้เสียหายควรที่จะหลบหนีไปอาศัยหรือขอความช่วยเหลือได้ไม่ยากเพราะบ้านพี่สาวจำเลยเป็นบ้านโล่งไม่มีฝากั้นและไม่มีรั้วรอบขอบชิด การที่อยู่ด้วยกันหลายวันหลายคืนเช่นนี้ไม่น่าที่จำเลยจะคอยควบคุมอยู่ได้ตลอดเวลา ฉะนั้นข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าผู้เสียหายไปและอยู่กับจำเลยที่บ้านพี่สาวจำเลยด้วยความสมัครใจของผู้เสียหายเอง มิได้ถูกจำเลยใช้อุบายหลอกลวงหรือบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด จำเลยจึงมิได้กระทำความผิดตามฟ้อง แต่การที่จำเลยพาผู้เสียหายซึ่งอายุ 15 ปีเศษกำลังย่างเข้าสู่วัยสาวและอยู่ในวัยรุ่นราวเกือบความเดียวกันกับจำเลยไปเสียจากบิดาของผู้เสียหายโดยพากันไปอยู่ที่บ้านพี่สาวจำเลยซึ่งอยู่ในป่าห่างจากบ้านบิดาของผู้เสียหายถึง 10 กิโลเมตรเป็นเวลาหลายวันโดยไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นอย่างอื่นดังนี้การที่ผู้เสียหายเบิกความว่าระหว่างอยู่ด้วยกันถูกจำเลยลูบคลำจับหน้าอกกับอวัยวะเพศและขอร่วมประเวณีด้วยนั้นจึงน่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพราะขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนจำเลยกับผู้เสียหายนอนอยู่ด้วยกันเพียงสองคนเนื่องจากพี่สาวจำเลยไม่ได้อยู่บ้าน ผู้เสียหายกับจำเลยไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกันบ้านผู้เสียหายอาศัยที่ดินของมารดาจำเลยปลูกอยู่ หากเรื่องไม่เป็นความจริงแล้วผู้เสียหายคงไม่กล้าเบิกความให้ร้ายจำเลยและทำให้ตนเองต้องเสื่อมเสียไปได้ ฉะนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก แม้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 318 แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลยอันเป็นกรณีตามมาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่าศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจะโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตามประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติว่าเป็นความผิดอยู่แล้วที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share