คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7397/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ทนายความโจทก์ย่อมอยู่ในฐานะโจทก์ การที่ ส. ทนายโจทก์ระบุภูมิลำเนาใหม่ไว้ท้ายคำฟ้องอุทธรณ์ โดยมิได้มีการแจ้งแก้ไขเปลี่ยนแปลงภูมิลำเนาที่ระบุไว้ในใบแต่งทนายความต่อศาลชั้นต้นเท่ากับ ส. ยินยอมให้ถือว่าภูมิลำเนาแห่งใหม่ที่ระบุไว้ท้ายคำฟ้องอุทธรณ์นั้นเป็นภูมิลำเนาของ ส. อีกแห่งหนึ่งซึ่งศาลอาจส่งหมายเรียกหรือหมายนัดได้นับแต่ยื่นอุทธรณ์เป็นต้นไปกรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 45 เดิมซึ่งให้ถือเอาแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นภูมิลำเนาของ ส. เมื่อพนักงานเดินหมายไม่อาจส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2ให้ ส. ทนายโจทก์โดยวิธีธรรมดา จึงได้ปิดหมายนัดไว้ที่บ้านตามภูมิลำเนาที่ระบุไว้ท้ายคำฟ้องอุทธรณ์ตามคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วการส่งหมายนัดจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 74(2) ประกอบมาตรา 79

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ ตามราคาที่จำเลยทั้งสองได้ตกลงขายโจทก์ตารางวาละ 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 5,118,000 บาท ให้จำเลยทั้งสองรับเงินจำนวนดังกล่าวจากโจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองแทน
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ผิดสัญญาและหลุดพ้นจากความผูกพันกับโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืน
โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอขยายระยะเวลาฎีกาออกไปอีก1 เดือน อ้างว่าโจทก์ไม่ทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพราะพนักงานศาลส่งหมายนัดให้ทนายโจทก์ไม่ถูกต้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาของโจทก์ โดยกำหนดขยายระยะเวลาฎีกาให้โจทก์ตามที่เห็นสมควรโจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคดีนี้โจทก์ได้แต่งตั้งนายสมเกียรติ เพียรธัญกรณ์ เป็นทนายความโจทก์มาตั้งแต่ศาลชั้นต้นปรากฏตามใบแต่งทนายความฉบับลงวันที่ 23 กันยายน 2529โดยนายสมเกียรติระบุภูมิลำเนาว่าอยู่บ้านเลขที่ 97 หมู่ที่ 19ถนนพัฒนาการ ซอยสวนหลวง แขวงสวนหลวง เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครต่อมาเมื่อโจทก์ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์นายสมเกียรติได้แจ้งระบุภูมิลำเนาใหม่ท้ายคำฟ้องอุทธรณ์ว่า อยู่บ้านเลขที่ 103 หมู่ที่ 11ถนนรามอินทรา ซอยปัฐวิกรณ์ 2 แขวงคลองกุ่ม เขตบางกะปิกรุงเทพมหานคร โดยมิได้แจ้งเปลี่ยนแปลงภูมิลำเนาใหม่ต่อศาลชั้นต้นอีกแต่ประการใด จนกระทั่งศาลชั้นต้นออกหมายนัดให้โจทก์และจำเลยทั้งสองมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 พนักงานเดินหมายได้ส่งหมายนัดของศาลชั้นต้นเพื่อฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2ให้นายสมเกียรติทนายโจทก์ตามภูมิลำเนาที่ระบุใหม่ท้ายคำฟ้องอุทธรณ์โจทก์ แต่ไม่พบตัวนายสมเกียรติทราบจากผู้ที่อยู่ข้างเคียงว่าได้ย้ายไปนานแล้ว เจ้าพนักงานเดินหมายจึงได้ปิดหมายตามคำสั่งศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2533 ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2533 โดยให้ถือว่าโจทก์ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 แล้ว แต่มาเมื่อวันที่ 28มกราคม 2534 โจทก์มายื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาออกไปอีก 1 เดือน
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า แม้ใบแต่งทนายความของนายสมเกียรติ เพียรธัญกรณ์ ทนายโจทก์ระบุภูมิลำเนาว่าอยู่บ้านเลขที่ 97 หมู่ที่ 19 ถนนพัฒนาการ ซอยสวนหลวง แขวงสวนหลวงเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ก็ตามแต่นายสมเกียรติก็ได้แจ้งระบุภูมิลำเนาใหม่ท้ายคำฟ้องอุทธรณ์ว่าอยู่บ้านเลขที่ 103หมู่ที่ 11 ถนนรามอินทรา ซอยปัฐวิกรณ์ 2 แขวงคลองกุ่ม เขตบางกะปิกรุงเทพมหานคร โดยมิได้แจ้งเปลี่ยนแปลงภูมิลำเนาใหม่ต่อศาลชั้นต้นอีก การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้นายสมเกียรติจึงชอบแล้วนั้น เห็นว่าทนายความโจทก์ย่อมอยู่ในฐานะโจทก์ การที่นายสมเกียรติระบุภูมิลำเนาใหม่ท้ายคำฟ้องอุทธรณ์ โดยมิได้มีการแจ้งแก้ไขเปลี่ยนแปลงภูมิลำเนาต่อศาลชั้นต้นเท่ากับนายสมเกียรติยินยอมให้ถือว่าภูมิลำเนาแห่งใหม่นั้นเป็นภูมิลำเนาของนายสมเกียรติอีกแห่งหนึ่งซึ่งศาลอาจส่งหมายเรียกหรือหมายนัดได้นับแต่ยื่นอุทธรณ์เป็นต้นไป กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 45 เดิม ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้าบุคคลธรรมดามีถิ่นที่อยู่หลายแห่ง ซึ่งอยู่สับเปลี่ยนกันไปก็ดี หรือมีหลักแหล่งที่ทำการเป็นปกติต่างแห่งหลายแห่งก็ดี ท่านให้ถือเอาแห่งใดแห่งหนึ่งดังกล่าวมาก่อนและหลังนั้นว่าเป็นภูมิลำเนาของบุคคลนั้น”เมื่อได้ความว่าพนักงานเดินหมายไม่อาจส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้นายสมเกียรติทนายโจทก์โดยวิธีธรรมดาจึงได้ปิดหมายนัดดังกล่าวไว้ที่บ้านเลขที่ 103 หมู่ที่ 11ถนนรามอินทรา ซอยปัฐวิกรณ์ 2 แขวงคลองกุ่ม เขตบางกะปิกรุงเทพมหานคร ตามคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2533และรายงานการเดินหมายลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2533 ตามเอกสารหมายจ.21 แล้ว การส่งหมายนัดโดยวิธีการปิดหมายดังกล่าวจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 74(2) ประกอบมาตรา 79แม้ตามรายงานการเดินหมายดังกล่าวจะระบุว่าคนอยู่ข้างเคียงแจ้งว่านายสมเกียรติย้ายจากบ้านเลขที่ 103 ไปนานแล้วก็ตาม โจทก์ก็ไม่อาจโต้แย้งว่าความจริงนายสมเกียรติทนายโจทก์ไม่มีภูมิลำเนาตามที่ระบุไว้ในท้ายคำฟ้องอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าพนักงานเดินหมายส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2ให้ทนายโจทก์โดยไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของโจทก์ลงวันที่ 28 มกราคม 2534และให้ยกฎีกาโจทก์

Share